แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สัญญากรมธรรม์ประกันภัยระบุจำนวนเงินจำกัดความรับผิดในส่วนที่เป็นค่าเสียหายต่อชีวิตร่างกายไว้ในข้อ 2.1 บรรทัดแรกว่า 100,000 บาท ต่อหนึ่งคน และบรรทัดถัดลงมาว่า 100,000 บาท ต่อหนึ่งครั้ง ดังนี้ หากเกิดอุบัติเหตุที่ผู้รับประกันภัยจะต้องรับผิดในค่าเสียหายแก่บุคคลภายนอกหลายคนในครั้งเดียวกันแล้วมิได้ หมายความว่า ผู้รับประกันภัยจะต้องรับผิดต่อทุกคนในวงเงินคนละไม่เกิน 100,000 บาท แต่หมายความว่า ทุกคนมีสิทธิได้รับค่าเสียหายจากผู้รับประกันภัยในวงเงินไม่เกิน 100,000 บาท โดยแบ่งเฉลี่ยกันตามส่วนของความเสียหายที่ได้รับ.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ขับรถยนต์บรรทุกสิบล้อ ชนรถจักรยานยนต์ของโจทก์ที่ ๓ ซึ่งมีโจทก์ที่ ๒ เป็นผู้ขับขี่และมีนางถนอมนั่งซ้อนท้าย เป็นเหตุให้รถจักรยานยนต์เสียหาย โจทก์ที่ ๒ ได้รับบาดเจ็บ และนางถนอมถึงแก่ความตาย ขอบังคับให้จำเลยที่ ๑ ในฐานะผู้ขับรถ จำเลยที่ ๒ ในฐานะนายจ้างของจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๓ ในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์บรรทุกสิบล้อคันเกิดเหตุ ร่วมกันรับผิดในค่าเสียหายของรถจักรยานยนต์และค่าสินไหมทดแทนต่อชีวิตร่างกายแก่โจทก์จำนวนรวม ๓๔๗,๖๐๕ บาทพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ให้การว่า เหตุที่เกิดขึ้นเป็นเพราะความประมาทของโจทก์ที่ ๒ ฝ่ายเดียว จำเลยทั้งสามไม่ต้องรับผิดค่าเสียหายไม่มากเท่าฟ้องทั้งจำเลยที่ ๓ รับประกันภัยรถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุไว้โดยจำกัดความรับผิดต่อทรัพย์สินกับความเสียหายเกี่ยวกับชีวิตร่างกายของบุคคลภายนอกไว้แต่ละครั้งไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดพิจารณา
ระหว่างพิจารณา โจทก์ขอถอนฟ้องเฉพาะจำเลยที่ ๑ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์ที่ ๒ รวม ๓๐๐,๐๐๐ บาท ให้โจทก์ที่ ๓ เป็นเงิน ๖๕,๐๐๐ บาท โดยให้จำเลยที่ ๓ รับผิดในวงเงิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย กับค่าฤชาธรรมเนียม คำขอนอกนั้นให้ยก
จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๓ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาแล้ว จำเลยที่ ๒ ไม่ฎีกา คดีเฉพาะจำเลยที่ ๒ จึงเป็นอันยุติ จำเลยที่ ๓ คงฎีกาเฉพาะวงเงินที่จะต้องรับผิด ข้อเท็จจริงฟังยุติว่า เมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๒๓ จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ ได้ขับรถยนต์บรรทุกสิบล้อ คันหมายเลขทะเบียน ส.บ.๑๓๗๘๙ ของจำเลยที่ ๒ ไปในทางการที่จ้าง ไปตามถนนสายพระพุทธบาทมุ่งสู่อำเภอท่าเรือ เมื่อมาถึงทางแยกเข้าอำเภอบ้านหมอ ตำบลบางโขมด อำเภอบ้านหมอ จังหวัดสระบุรีได้ชนรถจักรยานยนต์คันหมายเลขทะเบียน อ.ย.๐๕๗๙๖ ของโจทก์ที่ ๓ ซึ่งมีโจทก์ที่ ๒ เป็นผู้ขับขี่และนางถนอม ประดับทอง ภรรยาของโจทก์ที่ ๒ นั่งซ้อนท้าย เป็นเหตุให้นางถนอม ประดับทอง ถึงแก่ความตาย โจทก์ที่ ๒ แขนขวาขาด และขาซ้ายหัก รถจักรยานยนต์ของโจทก์ที่ ๓ เสียหาย จำเลยที่ ๒ ต้องรับผิดในมูลละเมิดโดยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์ที่ ๒ เป็นเงินรวม ๓๐๐,๐๐๐ บาท ให้โจทก์ที่ ๓ รวมเป็นเงิน ๖๕,๐๐๐ บาท ในขณะเกิดเหตุบริษัทประกันภัยจำเลยที่ ๓ ได้รับประกันภัยรถยนต์บรรทุกสิบล้อคันเกิดเหตุจากจำเลยที่ ๒ เพื่อความรับผิดในอุบัติเหตุอันเกิดจากการใช้รถยนต์ต่อบุคคลภายนอก ปัญหาจึงมีว่า จำเลยที่ ๓ จะต้องร่วมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายในฐานะเป็นบริษัทรับประกันภัยค้ำจุนให้แก่โจทก์ที่ ๒ และโจทก์ที่ ๓ ตามสัญญากรมธรรม์ประกันภัยเพียงใด
พิเคราะห์สัญญากรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมาย ล.๑ รายการ ๔ จำนวนเงินจำกัดความรับผิด ตามสัญญาข้อ ๒.๑ บรรทัดแรก ๑๐๐,๐๐๐ บาทต่อหนึ่งคนบรรทัดถัดลงมา ๑๐๐,๐๐๐ บาทต่อหนึ่งครั้ง เห็นว่า แม้ในสัญญาจะระบุจำกัดความรับผิดของจำเลยที่ ๓ ในกรณีที่ก่อให้เกิดการบาดเจ็บหรือการมรณะของบุคคลภายนอกในวงเงินไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาทต่อหนึ่งคน ก็ไม่ได้หมายความว่าเมื่อก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลภายนอกหลายคนแล้ว จำเลยที่ ๓ จะต้องรับผิดในค่าเสียหายแก่ทุกคนในวงเงินคนละไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท เพราะตามสัญญา ข้อ ๒.๑ ในบรรทัดถัดลงมาได้จำกัดความรับผิดไว้ในวงเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาทต่อหนึ่งครั้งแล้ว ซึ่งหมายความว่า ถ้าหากเกิดอุบัติเหตุก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลภายนอกหลายคนด้วยกัน ทุกคนมีสิทธิได้รับค่าเสียหายจากบริษัทประกันภัยจำเลยที่ ๓ ในวงเงินไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท โดยแบ่งเฉลี่ยกันตามส่วนของความเสียหายที่ได้รับ ที่ศาลล่างวินิจฉัยให้จำเลยที่ ๓ รับผิดตามสัญญากรมธรรม์ประกันภัยโดยให้ร่วมใช้ค่าเสียหายอันเกิดจากการบาดเจ็บของโจทก์ที่ ๒ และการเสียหายของโจทก์ที่ ๓ กับการตายของภรรยาโจทก์ที่ ๒ รวมเป็นเงิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย โดยในส่วนที่เป็นค่าเสียหายต่อชีวิตร่างกายตามสัญญาข้อ ๒.๑ นั้น โจทก์ที่ ๒ และที่ ๓ ชอบที่จะได้รับค่าเสียหายส่วนนี้รวมแล้วไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท และในส่วนที่เป็นค่าเสียหายเกี่ยวกับทรัพย์สินตามสัญญาข้อ ๒.๓ นั้นข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองแล้วว่า รถจักรยานยนต์เสียหายเป็นเงิน ๑๕,๐๐๐ บาท โจทก์ที่ ๓ ชอบที่จะได้รับค่าเสียหายในส่วนนี้อีก ๑๕,๐๐๐ บาท รวมจำเลยที่ ๓ ต้องรับผิดทั้งสิ้นเป็นเงินไม่เกิน ๑๑๕,๐๐๐ บาท ตามที่ได้วินิจฉัยไว้ข้างต้นฎีกาจำเลยที่ ๓ ข้อนี้ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๓ รับผิดเป็นเงิน ๑๑๕,๐๐๐ บาทพร้อมกับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ที่ ๒ ที่ ๓ ค่าขึ้นศาลทั้งสามศาลให้จำเลยที่ ๓ ชำระแทนโจทก์ที่ ๒ ที่ ๓ ตามจำนวนทุนทรัพย์ที่ชนะคดี สำหรับค่าทนายความสามศาลให้ใช้แทนรวม ๓,๐๐๐ บาทนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.