คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1221/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีที่ราษฎรเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นตรวจฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิพากษาใหม่ จำเลยไม่มีสิทธิที่จะฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.(ที่มา- ส่งเสริม)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๑, ๓๕๐
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โดยมิได้ไต่สวนมูลฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ข้อเท็จจริงตามที่ระบุในคำฟ้องจำเลยอาจ มีความผิดฐานฉ้อโกงได้ ที่ศาลชั้นต้นงดการไต่สวนมูลฟ้อง แล้วพิพากษายกฟ้องในความผิดฐานนี้ ศาลอุทธรณ์ไม่เห็นพ้องด้วย ส่วนข้อหาฐานโกงเจ้าหนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาชอบแล้ว พิพากษา แก้เป็นว่า ให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นเฉพาะที่ยกฟ้องโจทก์ ในข้อหาฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๑ และให้ทำการ ไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี นอกจากที่แก้ คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘คดีนี้เป็นคดีที่ราษฎรเป็นโจทก์ ศาลจึงต้องทำการไต่สวนมูลฟ้องตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๖๒ และ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๖๕ วรรค ๓ บัญญัติว่าก่อน ที่ศาลประทับฟ้องมิให้ถือว่าจำเลยอยู่ในฐานะที่เป็นจำเลย เมื่อเป็นเช่นนี้การที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาให้ศาลชั้นต้น ไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิจารณาพิพากษาใหม่ในข้อหาที่โจทก์ฟ้อง ว่าจำเลยกระทำความผิดฐานฉ้อโกงนั้น ยังไม่ทำให้จำเลยอยู่ ในฐานะที่เป็นจำเลย เมื่อยังไม่ได้เป็นจำเลยจึงไม่ได้ เป็นคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒ (๑๕) ไม่มีสิทธิที่จะฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ได้’
พิพากษาให้ยกฎีกาของจำเลย.

Share