คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1507/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่รับเงินรายได้ของหน่วยราชการที่ตนสังกัดและได้รับเงินรายได้ไว้ แต่มิได้นำเงินนั้นส่งคลังตามระเบียบซึ่งตามปกติจะต้องนำส่งคลังในวันเดียวกันกับวันที่ได้รับเงินไว้ เว้นแต่มีเหตุจำเป็นก็ให้นำส่งคลังในวันรุ่งขึ้นถัดไปที่เป็นวันทำการทั้งจำเลยมิได้ลงบัญชีรับเงินไว้เป็นหลักฐานจนกระทั่งเจ้าหน้าที่ตรวจสอบภายในของกรมเจ้าสังกัดตรวจพบการกระทำของจำเลยเป็นเวลาถึง 5 เดือนเศษ จำเลยจึงได้นำเงินส่งคลัง นับว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตเบียดบังไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวแล้ว.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐,๑๔๗, ๑๕๗ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ.๒๕๐๒ มาตรา ๓, ๑๓
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๗ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ.๒๕๐๒ มาตรา ๓ ให้จำคุก ๔ ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามตามมาตรา ๗๘ คงจำคุกไว้ ๓ ปี ๔ เดือน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยเป็นเจ้าพนักงานที่ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาให้ปฏิบัติหน้าที่รับเงินรายได้ต่าง ๆ ของศูนย์โรคเรื้อนเขต ๒ จังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๒๔ จำเลยได้รับเงินค่าขายทรัพย์สินของนิคมโรคเรื้อนแพร่งขาหยั่ง ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดของศูนย์ดังกล่าวเป็นเงิน ๑๗,๗๗๓ บาท แต่มิได้นำเงินนั้นส่งคลังตามระเบียบซึ่งตามปกติจะต้องนำส่งคลังในวันเดียวกันกับวันที่ได้รับเงินไว้ เว้นแต่มีเหตุจำเป็นก็ให้นำส่งคลังในวันรุ่งขึ้นถัดไปที่เป็นวันทำการทั้งจำเลยมิได้ลงบัญชีรับเงินไว้เป็นหลักฐาน จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ตรวจสอบภายในของกรมเจ้าสังกัดตรวจพบการกระทำของจำเลยเป็นเวลาถึง ๕ เดือนเศษ จำเลยจึงได้นำเงินส่งคลังครบถ้วนเมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๒๔ นั้น นับว่าคดีนี้มีเหตุผลเชื่อได้ว่า จำเลยมีเจตนาทุจริตเบียดบังไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวจริงตามฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยมาชอบด้วยรูปคดีแล้ว
พิพากษายืน

Share