คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3347/2529

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ปัญหาว่า โจทก์ผ่อนเวลาให้แก่ลูกหนี้จำเลยที่ 1 ทำให้ผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 3 หลุดพ้นจากความรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 700 แม้สัญญาค้ำประกันจะมีข้อความให้ถือว่าจำเลยที่ 3 รู้เห็นยินยอมด้วยในการผ่อนเวลาก็เป็นข้อสำคัญที่พิมพ์ไว้ล่วงหน้า ไม่ได้เป็นเจตนาอันแท้จริงของคู่กรณี จึงตกเป็นโมฆะตามมาตรา 113 และมาตรา 368 นั้น จำเลยที่ 3 มิได้ให้การต่อสู้ไว้จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
หนังสือสัญญาค้ำประกันมีข้อความว่า ผู้ค้ำประกันตกลงยินยอมชำระหนี้ทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยรวมทั้งอุปกรณ์แห่งหนี้ทั้งสิ้นตามสินเชื่อดังกล่าวข้างต้นให้แก่ธนาคารเป็นจำนวนเงินไม่เกิน 100,000 บาท โดยยอมรับผิดเป็นลูกหนี้ร่วมเป็นการค้ำประกันอย่างจำกัดจำนวนโดยเมื่อรวมต้นเงินดอกเบี้ยและอุปกรณ์แห่งหนี้เข้าด้วยกันแล้ว ผู้ค้ำประกันจะรับผิดไม่เกิน 100,000 บาท ข้อความที่ว่ายอมรับผิดเป็นลูกหนี้ร่วม หมายถึงในจำนวนเงิน 100,000 บาท จะรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมหาใช่ขยายจำนวนเงินที่จะรับผิดออกไปจากข้อความตอนต้นไม่ อย่างไรก็ดีหนี้ดังกล่าวเป็นหนี้เงิน จำเลยที่ 3 ต้องชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์ในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีระหว่างผิดนัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 วรรคหนึ่งเมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ทวงถามจำเลยที่ 3 เมื่อใด จำเลยที่ 3 จึงต้องเสียดอกเบี้ยในกรณีผิดนัดแก่โจทก์นับแต่วันฟ้อง

ย่อยาว

เดิมฟ้องโจทก์เรียกหนี้เบิกเงินเกินบัญชีที่จำเลยที่ ๑ เป็นลูกหนี้และจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกันจำนวนหนึ่งด้วย แต่ระหว่างพิจารณาโจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ ๒ และแก้ไขคำฟ้องลดจำนวนทุนทรัพย์ลง ศาลชั้นต้นอนุญาต จึงคงเหลือคดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ และที่ ๓
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๑๐ และ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๒๔ จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นผู้เคยค้ากับโจทก์ได้นำเช็คธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด สาขานครปฐม รวม ๒ ฉบับ จำนวนเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท ไปขายเพื่อแลกเงินสดจากโจทก์ มีจำเลยที่ ๓ เป็นผู้ค้ำประกัน โดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม ครั้นถึงกำหนด ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน จึงขอให้บังคับจำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ร่วมกันชำระเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ ๑๙ ต่อปีตามสัญญา เป็นเงิน ๒,๘๐๕.๗๔ บาท รวมเป็นเงิน ๑๐๒,๘๐๕.๗๔ บาทแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๓ ให้การต่อสู้ว่า จำเลยที่ ๓ ไม่ได้ค้ำประกันหนี้จำเลยที่ ๑ ตามสัญญาขายลดเช็ค ถ้าค้ำประกันจะต้องระบุไว้ในสัญญาโดยชัดแจ้งและโจทก์จะต้องให้จำเลยที่ ๓ ยินยอมด้วย หนี้ที่จำเลยที่ ๓ เข้าค้ำประกัน จำเลยที่ ๑ ได้ชำระเสร็จสิ้นไปแล้ว หากจำเลยที่ ๓ จะต้องรับผิดก็จำกัดไม่เกินวงเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท ตามสัญญาและโจทก์จะคิดดอกเบี้ยจากจำเลยที่ ๓ ในอัตราร้อยละ ๑๙ ต่อปีไม่ได้เพราะไม่ได้ระบุไว้ในสัญญาโดยชัดแจ้ง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ร่วมกันหรือแทนกันชำระเงิน ๑๐๐๐,๐๐๐ บาทแก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยจากต้นเงิน ๗๐,๐๐๐ บาท (ตามเช็คฉบับแรก) อัตราร้อยละ ๑๙ ต่อปี นับแต่วันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๒๔ (วันที่เช็คฉบับแรกถูกปฏิเสธการจ่ายเงิน) จนถึงวันที่ ๓ มกราคม ๒๕๒๕ และดอกเบี้ยอัตราเดียวกันจากเงินต้น ๑๐๐,๐๐๐ บาท นับจากวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๒๕ (วันที่เช็คฉบับที่ ๒ ถูกปฏิเสธการจ่ายเงิน) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ ๓ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๓ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า เมื่อวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๒๔ จำเลยที่ ๓ ทำสัญญาค้ำประกันไว้ต่อธนาคารโจทก์สาขานครปฐมว่า ในการที่ธนาคารโจทก์ได้ปล่อยสินเชื่อให้แก่จำเลยที่ ๑ ไป หากจำเลยที่ ๑ ผิดสัญญาหรือเงื่อนไขแห่งสินเชื่อ จำเลยที่ ๓ ตกลงชำระหนี้ทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยรวมทั้งอุปกรณ์แห่งหนี้ทั้งสิ้นให้แก่โจทก์เป็นจำนวนเงินไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท โดยรับผิดเป็นลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ ๑ ต่อมาวันที่ ๑๐ และ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๒๔ จำเลยที่ ๑ ได้นำเช็คจำนวนเงิน ๗๐,๐๐๐ บาท และ ๓๐,๐๐๐ บาท ตามลำดับ ไปขายแลกเงินสดจากธนาคารโจทก์สาขานครปฐม โดยตกลงว่าหากผิดนัดจำเลยที่ ๑ ยอมชดใช้เงินตามเช็คพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ ๑๙ ต่อปี ครั้นเช็คถึงกำหนด โจทก์เรียกเก็บเงินไม่ได้ เพราะธนาคารผู้จ่ายปฏิเสธการจ่ายเงินเมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๒๔ และ ๔ มกราคม ๒๕๒๕ ตามลำดับ จำเลยที่ ๑ ยังไม่ได้ชำระหนี้ขายลดเช็คนี้ แล้วศาลฎีกาวินิจฉัยในข้อกฎหมายดังนี้
จำเลยที่ ๓ ทำหนังสือสัญญาค้ำประกันไว้เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๒ แต่สัญญาดังกล่าวไม่ได้มีระยะเวลาจำกัดความรับผิดของจำเลยที่ ๓ ไว้ ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ ๓ แสดงความประสงค์ต่อโจทก์ขอเลิกการค้ำประกันเพื่อหนี้อันจำเลยที่ ๑ จะก่อขึ้นในอนาคตแต่อย่างใด สัญญาค้ำประกันที่จำเลยที่ ๓ ทำไว้ยังมีผล เมื่อจำเลยที่ ๑ นำเช็คมาขายลดให้แก่โจทก์เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๔ แล้วผิดสัญญาและไม่ชำระหนี้จำเลยที่ ๓ ก็ต้องรับผิดชำระแทนตามสัญญาค้ำประกัน
จำเลยที่ ๓ ฎีกาว่า โจทก์ผ่อนเวลาให้แก่จำเลยที่ ๑ ทำให้จำเลยที่ ๓ หลุดพ้นจากความรับผิด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๗๐๐ แม้สัญญาค้ำประกันจะมีข้อความให้ถือว่าจำเลยที่ ๓ รู้เห็นยินยอมด้วยในการผ่อนเวลา ก็เป็นข้อสำคัญที่พิมพ์ไว้ล่วงหน้า ไม่ได้เป็นเจตนาอันแท้จริงของคู่กรณีจึงตกเป็นโมฆะตามมาตรา ๑๑๓ และมาตรา ๓๖๘ นั้น ปรากฏว่าปัญหาข้อนี้จำเลยที่ ๓ ไม่ได้ให้การต่อสู้ไว้ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามฎีกา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
จำเลยที่ ๓ ฎีกาต่อไปว่า จำเลยที่ ๓ ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ ๑ โดยจำกัดวงเงินไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท ศาลจะพิพากษาให้จำเลยที่ ๓ รับผิดรวมทั้งดอกเบี้ยด้วยเกินกว่าวงเงินดังกล่าวไม่ได้ นั้น หนังสือสัญญาค้ำประกันข้อ ๑ มีข้อความว่า ในการที่ธนาคารโจทก์ได้ปล่อยสินเชื่อให้แก่นางเจษรา แซ่จู จำเลยที่ ๑ ไปนั้น หากปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ ปฏิบัติผิดสัญญาหรือผิดเงื่อนไขแห่งสินเชื่อหรือก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นไม่ว่าในกรณีใด ๆ อันเกี่ยวกับการที่ได้รับสินเชื่อนั้นไปจากธนาคาร ไม่ว่าจะโดยรวมทุกรายการหรือเพียงรายการหนึ่งรายการใด “ผู้ค้ำประกันตกลงยินยอมชำระหนี้ทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยรวมทั้งอุปกรณ์แห่งหนี้ทั้งสิ้นตามสินเชื่อดังกล่าวข้างต้นให้แก่ธนาคารเป็นจำนวนเงินไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท (หนึ่งแสนบาทถ้วน) โดยยอมรับผิดเป็นลูกหนี้ร่วมกับนางเจษรา แซ่จู ฯลฯ” ดังนี้เห็นว่า จำเลยที่ ๓ ค้ำประกันอย่างจำกัดจำนวน โดยเมื่อรวมต้นเงินดอกเบี้ยและอุปกรณ์อื่น ๆ แห่งหนี้เข้าด้วยกันแล้ว จำเลยที่ ๓ จะรับผิดไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท ข้อความที่ว่ายอมรับผิดเป็นลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ ๑ หมายถึงในจำนวนเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท จะรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมหาใช่ขยายจำนวนเงินที่จะรับผิดออกไปจากข้อความตอนต้นไม่ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๓ ทำสัญญายอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม ต้องร่วมรับผิดชำระเงินจำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ ๑๙ ต่อปี นับแต่วันที่เช็คแต่ละฉบับขึ้นเงินไม่ได้จนกว่าจะชำระเสร็จ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อย่างไรก็ดี หนี้ดังกล่าวเป็นหนี้เงิน จำเลยที่ ๓ ต้องชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์ในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในระหว่างผิดนัดตามประมวลกฎหมายแพ่และพาณิชย์ มาตรา ๒๒๔ วรรคหนึ่ง เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ทวงถามจำเลยที่ ๓ เมื่อใด จำเลยที่ ๓ จึงต้องเสียดอกเบี้ยในกรณีผิดนัดนับแต่วันฟ้อง และเมื่อวินิจฉัยเช่นนี้แล้ว จึงไม่ต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยที่ ๓ ที่ว่า โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๙ ต่อปีจากจำเลยที่ ๓ อีกต่อไป
พิพากษาแก้เป็นว่า ในส่วนที่เกี่ยวกับดอกเบี้ยให้จำเลยที่ ๓ ร่วมรับผิดชำระแก่โจทก์ในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share