คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3137/2529

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ประกอบการค้าที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง โดยยืมเงินธนาคารมาดำเนินการ การที่โจทก์โอนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างชำระหนี้ให้ธนาคารตามสัญญาประนีประนอมยอมความย่อมทำให้หนี้ของโจทก์ลดลง นับได้ว่าโจทก์ได้รับประโยชน์ตอบแทนแล้ว ถือได้ว่าเป็นการขายตามความหมายของประมวลรัษฎากรมาตรา 77 ซึ่งให้ความหมายของคำว่า ‘ขาย’ ว่า ‘หมายความรวมถึงสัญญาจะขาย ขายฝาก แลกเปลี่ยน ให้เช่าซื้อหรือจำหน่ายจ่ายโอนโดยมีประโยชน์ตอบแทนด้วย’
แม้ประโยชน์ที่โจทก์ได้รับจะมิใช่เป็นประโยชน์ตอบแทนทางการค้าหรือเป็นการปลดเปลื้องหนี้สินบางส่วน มิใช่รายรับเนื่องจากการประกอบการค้าโดยตรงแต่เมื่อโจทก์ประกอบการค้าที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง โดยยืมเงินธนาคารมาดำเนินการ การที่โจทก์โอนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างชำระหนี้ให้ธนาคาร ก็ถือได้ว่าเป็นการกระทำที่เกี่ยวเนื่องกับการประกอบการค้าของโจทก์นั่นเอง หนี้ที่ลดลงก็เป็นประโยชน์ซึ่งมีมูลค่าที่ได้รับเนื่องจากการประกอบการค้า จึงเป็นรายรับตามประมวลรัษฎากรมาตรา 79 อันโจทก์จะต้องเสียภาษีการค้า

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ซื้อที่ดินปลูกสร้างอาคารเพื่อจำหน่าย โดยนำที่ดินแต่ละแปลงที่แบ่งแยกแล้วพร้อมสิ่งปลูกสร้างจำนองเป็นประกันหนี้กับธนาคารเอเซีย จำกัดโจทก์เสียภาษีโดยถูกต้องตลอดมา เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ ๑ แจ้งให้โจทก์ทราบว่าระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๑๕ ถึงปี พ.ศ. ๒๕๑๘ โจทก์เสียภาษีการค้า ภาษีบำรุงเทศบาลไม่ครบถ้วน และไม่ได้เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามรายได้ที่แท้จริง ให้โจทก์จัดการชำระภาษีการค้า เงินเพิ่ม เบี้ยปรับ ภาษีบำรุงเทศบาล ภาษีเงินได้นิติบุคคลและเงินเพิ่มโจทก์อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ วินิจฉัยให้โจทก์ชำระภาษีลดลง โจทก์เห็นว่าการประเมินภาษีและคำวินิจฉัยอุทธณณ์ไม่ชอบเพราะการที่โจทก์และธนาคารเอเซีย จำกัด ทำสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยโจทก์โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและอาคารให้ธนาคารเอเซีย จำกัด เพื่อเป็นการชำระหนี้จำนอง การกระทำของโจทก์หาใช่เป็นการค้าอสังหาริมทรัพย์อันที่โจทก์จะต้องเสียภาษีและเนื่องจากเป็นการหักหนี้จำนอง โจทก์จึงไม่มีเงินได้อันจะต้องเสียภาษี ขอให้เพิกถอนคำประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์
จำเลยทั้งสี่ให้การว่า ที่โจทก์โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและอาคารให้ธนาคารเพื่อเป็นการชำระหนี้จำนอง ซึ่งโจทก์อ้างว่ามิใช่การค้าอสังหาริมทรัพย์นั้น อาคารและที่ดินของโจทก์ดังกล่าวโจทก์มีไว้เพื่อจำหน่ายเป็นการค้าและหากำไร เมื่อโจทก์โอนให้ธนาคารเป็นการชำระหนี้ ย่อมถือได้ว่าเป็นการขายตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๗๗ ซึ่งหมายความรวมถึงสัญญาจะขายฝาก แลกเปลี่ยน ให้เช่าซื้อ หรือจำหน่ายจ่ายโอนโดยมีผลประโยชน์ตอบแทนด้วย ดังนั้นการที่โจทก์โอนทรัพย์สินที่โจทก์มีไว้เพื่อจำหน่ายให้ธนาคารเพื่อชำระหนี้ จึงถือว่าโอนโดยมีผลประโยชน์ตอบแทนโจทก์ต้องเสียภาษีการค้า และภาษีเงินได้นิติบุคคลตลอดจนเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติตามที่โจทก์จำเลยนำสืบรับกันว่า โจทก์ได้ปลูกอาคารพาณิชย์และที่อยู่อาศัยขายแก่บุคคลทั่วไป ใช้ชื่อว่าศูนย์การค้าวรรัตน์โดยโจทก์กู้เงินจากธนาคารเอเซีย จำกัด ไปดำเนินการ และได้นำที่ดินและสิ่งปลูกสร้างไปจำนองกับธนาคารเพื่อเป็นประกัน ต่อมาโจทก์ไม่สามารถชำระหนี้ให้ธนาคารได้ โจทก์กับธนาคารเอเซีย จำกัด จึงได้ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความโอนที่ดินที่โจทก์จำนองพร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างให้แก่ธนาคารเพื่อเป็นการชำระหนี้ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.๒ เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ ๑ ถือว่าการโอนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวของโจทก์เป็นการขายตามมาตรา ๗๗ แห่งประมวลรัษฎากร จะต้องนำรายได้คือราคาปานกลางของที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวมาคำนวณภาษีการค้าและภาษีเงินได้ จึงได้ประเมินเรียกเก็บภาษีจากโจทก์ในรอบระยะเวลาบัญชีปี ๒๕๑๕ ถึงปี ๒๕๑๘ เป็นภาษีการค้า เงินเพิ่ม เบี้ยปรับ ภาษีเทศบาลและได้ประเมินเรียกเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคล เงินเพิ่ม จากโจทก์ในรอบระยะเวลาบัญชีปี ๒๕๑๕ และ ๒๕๑๖ ด้วย โจทก์เห็นว่าการโอนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างชำระหนี้ให้แก่ธนาคารเอเซีย จำกัด ไม่เป็นรายรับ โจทก์ไม่ต้องเสียภาษีตามที่เจ้าพนักงานประเมินได้ประเมินไว้ และโจทก์ได้อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์แล้ว คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เห็นชอบด้วยกับการประเมินเพียงแต่ลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มให้โจทก์บางส่วนคดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ในข้อแรกว่า การโอนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของโจทก์เพื่อชำระหนี้ให้แก่ธนาคารเอเซีย จำกัด ตามสัญญาประนีประนอมยอมความเอกสารหมาย จ.๒ จะถือว่าเป็นการขายตามมาตรา ๗๗ แห่งประมวลรัษฎากร อันจะมีผลให้โจทก์ต้องเสียภาษีดังที่เจ้าพนักงานของจำเลยที่ ๑ ประเมินหรือไม่ ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่าบทบัญญัติดังกล่าวได้ให้ความหมายของคำว่า “ขาย” ว่า “หมายความรวมถึงสัญญาจะขาย ขายฝาก แลกเปลี่ยน ให้เช่าซื้อหรือจำหน่ายจ่ายโอนโดยมีประโยชน์ตอบแทนด้วย” การที่โจทก์โอนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างชำระหนี้ให้แก่ธนาคารย่อมทำให้หนี้ของโจทก์ลดลง นับได้ว่าโจทก์ได้ประโยชน์ตอบแทนแล้ว การโอนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของโจทก์ดังกล่าวจึง เป็นการจำหน่ายจ่ายโอนโดยมีประโยชน์ตอบแทน ซึ่งถือได้ว่าเป็นการขายตามความหมายของมาตรา ๗๗ แห่งประมวลรัษฎากร แม้ประโยชน์ที่โจทก์ได้รับจะมิใช่เป็นประโยชน์ตอบแทนทางการค้า หรือเป็นการปลดเปลื้องหนี้สินบางส่วน มิใช่รายรับเนื่องจากการประกอบการค้าโดยตรงดังที่จำเลยฎีกา แต่เมื่อโจทก์ประกอบการค้าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างโดยยืมเงินธนาคารมาดำเนินการ การที่โจทก์โอนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างชำระหนี้ให้ธนาคารก็ถือได้ว่าเป็นการกระทำที่เกี่ยวเนื่องกับการประกอบการค้าของโจทก์นั่นเอง หนี้ที่ลดลงก็เป็นประโยชน์ซึ่งมีมูลค่าที่ได้รับเนื่องจากการประกอบการค้า จึงเป็นรายรับตามมาตรา ๗๙ แห่งประมวลรัษฎากร อันโจทก์จะต้องเสียภาษีการค้า เปรียบได้เสมือนหนึ่งโจทก์ขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้ธนาคาร โดยตกลงให้เอาราคาที่ดินและสิ่งปลูกสร้างไปหักกลบลบหนี้ของโจทก์ ซึ่งย่อมจะต้องถือว่าราคาที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวเป็นรายรับที่จะต้องเสียภาษีการค้าเช่นกัน
พิพากษายืน

Share