คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 965/2529

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

อุทธรณ์เป็นคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 1 (3) จำเลยเป็นผู้อุทธรณ์ถือว่าจำเลยเป็นโจทก์ในชั้นอุทธรณ์ เมื่อจำเลยมิได้นำส่งสำเนาอุทธรณ์ภายในกำหนด 15 วันตามที่ศาลชั้นต้นสั่งย่อมถือว่าจำเลยทิ้งฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174 (2) ซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 (1) ให้ศาลมีอำนาจที่จะสั่งจำหน่ายคดีเสียจากสารบบความได้โดยไม่ต้องวินิจฉัยในประเด็นเรื่องนี้และบทบัญญัติในสองมาตราดังกล่าวให้นำมาใช้บังคับแก่การพิจารณาลแะการชี้ขาดตัดสินคดีในชั้นอุทธรณ์ โดยอนุโลมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 246 การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยเป็นการทิ้งฟ้องให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความจึงชอบแล้ว
แม้จะฟังว่าจำเลยวางเงินค่านำส่งสำเนาอุทธรณ์ให้ไว้กับเจ้าหน้าที่ศาลแล้ว จำเลยก็ยังมีหน้าที่ต้องนำเจ้าหน้าที่ศาลไปส่งสำเนาอุทธรณ์ให้แก่โจทก์ เมื่อจำเลยไม่จัดการนำส่งสำเนาอุทธรณ์ภายในเวลาที่ศาลชั้นต้น กำหนดก็ชอบที่ศาลจะสั่งจำหน่ายคดีเสียได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ศาลบังคับให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากตึกแถวของโจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารให้ออกไปจากตึกแถวของโจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์สำเนาให้โจทก์แก้และให้ผู้อุทธรณ์นำส่งสำเนาอุทธรณ์ภายใน ๑๕ วัน แต่จำเลยมิได้นำส่งสำเนาอุทธรณ์ภายในกำหนดเวลาดังกล่าวถือว่าจำเลยทิ้งฟ้อง อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๔ (๒) จึงให้จำหน่ายคดีออกเสียจากสารบบความของศาลอุทธรณ์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๑ (๓) บัญญัติว่า “คำฟ้อง” หมายความว่า กระบวนพิจารณาใด ๆ ที่โจทก์ได้เสนอข้อหาต่อศาล ไม่ว่าจะได้เสนอด้วยวาจาหรือทำเป็นหนังสือไม่ว่าจะได้เสนอต่อศาลชั้นต้นหรือชั้นอุทธรณ์หรือฎีกา ไม่ว่าจะได้เสนอในขณะที่เริ่มคดีโดยคำฟ้องหรือคำร้องขอ หรือเสนอในภายหลังโดยคำฟ้องเพิ่มเติมหรือแก้ไขหรือฟ้องแย้ง หรือโดยสบดเข้ามาในคดีไม่ว่าด้วยสมัครใจหรือถูกบังคับ หรือโดยมีขอให้พิจารณาใหม่ ดังนั้น อุทธรณ์จึงเป็นคำฟ้องตามนัยแห่งกฎหมายดังกล่าวซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๗๐ วรรคสอง ซึ่งใช้บังคับในขณะนั้น บัญญัติว่า คำฟ้องนั้นให้โจทก์มีหน้าที่จัดการนำส่ง คดีนี้จำเลยเป็นผู้อุทธรณ์ถือว่าจำเลยเป็นโจทก์ในชั้นอุทธรณ์ที่ศาลชั้นต้นสั่งให้จำเลยซึ่งเป็นผู้อุทธรณ์นำส่งสำเนาอุทธรณ์ภายใน ๑๕ วัน จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว เมื่อจำเลยมิได้นำส่งสำเนาอุทธรณ์ภายในกำหนดเวลาดังกล่าว ย่อมถือได้ว่าเป็นการทิ้งฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๔ (๒) ซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๓๒ (๑) บัญญัติว่าให้ศาลมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความได้โดยไม่ต้องวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นเรื่องนี้ บทบัญญัติทั้งสองมาตราดังกล่าวนี้อยู่ในบทบัญญัติว่าด้วยการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีในศาลชั้นต้น และมิได้มีบัญญัติไว้ในลักษณะว่าด้วยอุทธรณ์ จึงนำมาใช้บังคับแก่การพิจารณาและการชี้ขาดตัดสินคดีในชั้นอุทธรณ์ ได้โดยอนุโลมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๖ บัญญัติไว้ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยเป็นการทิ้งฟ้อง ให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความจึงชอบแล้วส่วนที่จำเลยอ้างว่าได้วางเงินค่านำส่งสำเนาอุทธรณ์ให้ไว้กับเจ้าหน้าที่ศาลแล้วเป็นเงิน ๗๐ บาทนั้น เห็นว่าตามกฎหมายกำหนดให้จำเลยซึ่งเป็นผู้อุทธรณ์มีหน้าที่จัดการนำส่งคำฟ้องอุทธรณ์ดังวินิจฉัยมาแล้ว แม้จะฟังว่าจำเลยว่างเงินค่านำส่งสำเนาอุทธรณ์แล้ว จำเลยก็ยังมีหน้าที่ต้องนำเจ้าหน้าที่ศาลไปส่งสำเนาอุทธรณ์ให้แก่โจทก์ เมื่อจำเลยไม่จัดการนำส่งสำเนาอุทธรณ์ภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด ก็ชอบที่ศาลจะสั่งจำหน่ายคดีเสียได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share