คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 899/2529

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สำนักงานเร่งรัดพัฒนาชนบทจำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคล มีฐานะเท่ากรมในรัฐบาล เป็นหน่วยราชการ มีหน้าที่พัฒนาชนบทตามนโยบายรัฐบาลมิได้มีอำนาจหน้าที่ในการจัดสรรที่ดินให้ประชาชนทั่วไปเช่าซื้อ การจัดสรรที่ดินจึงมิใช่ราชการของจำเลยที่ 1 การที่จำเลยที่ 1 ตั้งคณะกรรมการขึ้นดำเนินการจัดสรรที่ดิน โดยคณะกรรมการดังกล่าวดำเนินงานในนามของสวัสดิการสำนักงานเร่งรัดพัฒนาชนบท สวัสดิการสำนักงานเร่งรัดพัฒนาชนบทดังกล่าวกมิใช่ส่วนราชการของจำเลยที่ 1 การดำเนินงานของสวัสดิการสำนักเร่งรัดพัฒนาชนบทจึงมิใช่ราชการของจำเลยที่ 1 การประกาศจัดสรรที่ดินก็ดี สัญญาเช่าซื้อที่ดินก็ดี ใบเสร็จรับเงินก็ดี ีล้วนแต่ทำในนามของสวัสดิการของสำนักงานเร่งรัดพัฒนาชนบทมิได้กระทำในนามของจำเลยที่ 1 แม้จำเลยที่ 1 ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นจัดสรรที่ดิน ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดแก่ประชาชนว่าเป็นผู้จัดสรรที่ดิน ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่สมควรก็ตาม ก็ไม่มีผลให้การจัดสรรที่ดินกลายเป็นราชการของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดตามสัญญาเช่าซื้อดังกล่าว

ย่อยาว

โจทก์ทั้ง ๑๘ สำนวนฟ้องเป็นทำนองเดียวกันว่า จำเลยที่ ๑ เป็นนิติบุคคล มีฐานะเท่ากรม มีอำนาจหน้าที่พัฒนาชนบทตามนโยบายรัฐบาลจำเลยที่ ๒ ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการของจำเลยที่ ๑ และเป็นประธานกรรมการจัดสรรที่ดินเพื่ออยู่อาศัยของสวัสดิการของจำเลยที่ ๑ และมีชื่อในโฉนดที่ดินจัดสรรดังกล่าว จำเลยที่ ๓ เป็นบริษัท จำกัด เป็นนิติบุคคล มีวัตถุประสงค์ในการจัดสรรที่ดินจำหน่าย จำเลยที่ ๔ เป็นกรรมการผู้จัดการจำเลยที่ ๓ ทั้งดำเนินกิจการเป็นส่วนตัวด้วย จำเลยที่ ๑ ประกาศว่าประสงค์จะส่งเสริมสวัสดิการของข้าราชการและผู้ปฏิบัติงานเร่งรัดพัฒนาชนบท จึงดำเนินการจัดสรรที่ดินเพื่ออยู่อาศัย โดยให้เช่าซื้อระยะยาว โจทก์ทั้ง ๑๘ สำนวน ได้ตกลงทำสัญญาเช่าซื้อและชำระค่าเช่าซื้อตลอดมา ต่อมาวันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๑๖ จำเลยที่ ๑ แจ้งให้โจทก์ทั้ง ๑๘ สำนวนทราบว่า ได้โอนการจัดสรรที่ดินให้จำเลยที่ ๓ ดำเนินการต่อไป ให้โจทก์ทั้ง ๑๘ สำนวนติดต่อกับจำเลยที่ ๓ โจทก์ทั้ง ๑๘ สำนวนได้ติดต่อทำสัญญาเช่าซื้อกับจำเลยที่ ๓ และชำระค่าเช่าซื้อให้กับจำเลยที่ ๓ ต่อไป ต่อมาจำเลยทั้งสี่ผิดสัญญาไม่โอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่เช่าซื้อให้ ทำให้ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับให้จำเลยทั้งสี่จัดการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามสัญญาเช่าซื้อ หากโอนไม่ได้ให้คืนเงินเช่าซื้อที่โจทก์แต่ละคนได้ชำระไปพร้อมดอกเบี้ย และชำระค่าเสียหายเท่าราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้นอัตราตารางวาละ ๙๕๐ บาท ตามจำนวนที่ดินที่โจทก์แต่ละคนเช่าซื้อด้วย
จำเลยที่ ๑ ให้การทำนองเดียวกันทั้ง ๑๘ สำนวนว่า จำเลยที่ ๑ ไม่มีวัตถุประสงค์และไม่เคยดำเนินการจัดสรรที่ดินหรือให้เช่าซื้อที่ดิน หากจำเลยที่ ๒ กับพวกดำเนินการจัดสรรที่ดิน จำเลยที่ ๒ กับพวกก็ต้องรับผิดชอบเป็นส่วนตัว จำเลยที่ ๑ มิใช่คู่สัญญาและไม่ได้รับเงินค่าเช่าซื้อจากโจทก์ สัญญาเช่าซื้อเป็นโมฆะเพราะจำเลยที่ ๑ ไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดินให้เช่าซื้อ เมื่อได้โอนหนี้กันโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ผู้โอนย่อมพ้นความผิด
จำเลยที่ ๒ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาทั้ง ๑๘ สำนวน
จำเลยที่ ๓ ที่ ๔ ให้การทำนองเดียวกันทั้ง ๑๘ สำนวนว่า จำเลยที่ ๓ ถูกเชิดให้เข้าทำสัญญาเช่าซื้อแทนจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และจำเลยที่ ๓ ต้องผูกพันตามสัญญาเช่าซื้อก็ต่อเมื่อจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ได้โอนที่ดินและมอบเงินค่าเช่าซื้อที่ได้รับไปทั้งหมดแก่จำเลยที่ ๓ แล้วเท่านั้น ราคาที่ดินที่เช่าซื้อปัจจุบันราคาไม่เกินตารางวาละ ๖๕๐ บาท จำเลยที่ ๔ เป็นกรรมการผู้จัดการจำเลยที่ ๓ ไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสี่ร่วมกันจัดสรรที่ดินให้โจทก์และผิดสัญญา พิพากษาให้จำเลยที่สี่ร่วมกันโอนที่ดินแปลงที่โจทก์แต่ละคนเช่าซื้อให้โจทก์ และให้จำเลยรับเงินส่วนที่จำเลยตกลงให้โจทก์บางคนชำระในวันโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน หากจำเลยไม่โอนให้ก็ให้จำเลยร่วมกันชำระเงินที่โจทก์แต่ละคนได้ชำระแล้วพร้อมดอกเบี้ย และให้ใช้ค่าเสียหายตามราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้นอัตราตารางวาละ ๙๕๐ บาท ตามจำนวนที่ดินที่โจทก์ แต่ละคนเช่าซื้อ
จำเลยที่ ๑ ที่ ๓ และ ที่ ๔ ทั้ง ๑๘ สำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยที่ ๒ จัดสรรที่ดินเป็นการส่วนตัวมิได้กระทำในนามคณะกรรมการที่จำเลยที่ ๑ แต่งตั้งขึ้น จำเลยที่ ๑ จึงไม่ต้องรับผิด จำเลยที่ ๓ รับโอนกิจการมาดำเนินการต่อไปในนามตนเอง มิได้กระทำแทนจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ จำเลยที่ ๓ จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ จำเลยที่ ๔ เป็นกรรมการผู้จัดการจำเลยที่ ๓ ไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องโจทก์ เกี่ยวกับจำเลยที่ ๑ และที่ ๔ ทุกสำนวนนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ทั้ง ๑๘ สำนวน และจำเลยที่ ๓ ทั้ง ๑๘ สำนวนฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยที่ ๑ ต้องร่วมรับผิดด้วย และจำเลยที่ ๑ ตั้งคณะกรรมการขึ้นจัดสรรที่ดิน ได้มีการประกาศจัดสรรที่ดินของสำนักงานจัดสรรที่ดินและอาคารสงเคราะห์ สวัสดิการสำนักงานเร่งรัดพัฒนาชนบท สำนักนายกรัฐมนตรี ต่อมาได้มีการทำสัญญาเช่าซื้อที่ดินและออกใบเสร็จรับเงินก็ระบุว่าเป็นการจัดสรรที่ดินตามประกาศดังกล่าวต้องฟังว่าจำเลยที่ ๑ เป็นผู้จัดสรรที่ดินรายนี้เห็นว่า จำเลยที่ ๑ เป็นหน่วยราชการ มิได้มีอำนาจหน้าที่ในการจัดสรรที่ดินให้ประชาชนทั่วไปเช่าซื้อ การจัดสรรที่ดินจึงไม่อาจถือได้ว่าเป็นราชการของจำเลยที่ ๑ การที่จำเลยที่ ๑ ตั้งคณะกรรมการขึ้นดำเนินการจัดสรรที่ดินนี้ คณะกรรมการดังกล่าวได้ดำเนินการในนามสวัสดิการสำนักงานเร่งรัดพัฒนาชนบท ไม่ปรากฏสำนักเร่งรัดพัฒนาชนบทเป็นส่วนราชการของจำเลยที่ ๑ การดำเนินการของสวัสดิการดังกล่าวจะถือว่าเป็นราชการของจำเลยที่ ๑ หาได้ไม่ การประกาศจัดสรรที่ดินก็ดีสัญญาเช่าซื้อที่ดินก็ดี ใบเสร็จรับเงินก็ดี ล้วนทำในนามของสวัสดิการสำนักงานเร่งรัดพัฒนาชนบท หาได้ทำในนามของจำเลยที่ ๑ ไม่ แม้จะมีคำว่าสำนักงานเร่งรัดพัฒนาชนบทซึ่งเป็นชื่อของจำเลยที่ ๑ เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ก็เห็นได้ว่าเป็นการแอบอิงชื่อหน่วยราชการเพื่อให้เป็นที่เชื่อถือแก่ประชาชนทั่วไปการกระทำของจำเลยที่ ๑ ที่ตั้งคณะกรรมการขึ้นจัดสรรที่ดินดังกล่าวนั้นแม้จะก่อให้เกิดความเข้าใจผิดแก่ประชาชน ซึ่งเป็นเรื่องที่ใม่สมควรก็ตามแต่ก็หามีผลถึงกับทำใหการจัดสรรที่ดินนั้นกลายเป็นราชการของจำเลยที่ ๑ และให้มีผลให้จำเลยที่ ๑ ต้องรับผิดตามสัญญาเช่าซื้อตามที่โจทก์ฟ้องไม่
พิพากษายืน

Share