แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยทำสัญญากู้ยืมไว้แก่โจทก์แทนการวางมัดจำเป็นเงินสดตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง สัญญากู้ยืมดังกล่าวจึงมีมูลหนี้มาจากการที่จำเลยมีหนี้ที่จะต้องวางมัดจำตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเมื่อจำเลยผิดสัญญาจะซื้อขายดังกล่าวซึ่งโจทก์มีสิทธิริบเงินมัดจำ โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องบังคับตามสัญญากู้ยืมได้เพราะมีมูลหนี้ต่อกัน และกรณีเช่นนี้ถือได้ว่าได้มีการส่งมอบเงินให้ผู้กู้แล้ว
เมื่อสัญญากู้ยืมครบกำหนด จำเลยไม่ชำระหนี้ โจทก์ผู้ให้กู้มีสิทธิฟ้องเรียกร้องให้จำเลยชำระเงินได้โดยถือว่าจำเลยผิดนัดตั้งแต่วันถัดจากวันครบกำหนดตามสัญญากู้ยืมเป็นต้นไป และเรียกค่าเสียหายร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีเท่ากับดอกเบี้ยโดยคิดตั้งแต่วันผิดนัดได้ด้วย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญากู้ยืมเงินจำนวน ๑,๕๐๐,๐๐๐ บาทไปจากโจทก์ ครบกำหนดแล้วไม่ยอมชำระคืน ทำให้โจทก์เสียหาย ขอคิดค่าเสียหายเท่ากับอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี ขอให้ศาลพิพากษาและบังคับ
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า สัญญากู้ยืมที่จำเลยทำไว้แก่โจทก์เป็นสัญญาที่ทำขึ้นแทนการวางมัดจำตามสัญญาจะซื้อขายที่ดิน มิได้มีการรับเงินกันตามสัญญากู้ ไม่เป็นการวางมัดจำ จะถือว่าเป็นการกู้ยืมเงินหาได้ไม่ สัญญากู้ยืมดังกล่าวจึงไม่มีมูลหนี้ต่อกันพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าเมื่อวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๒๓ โจทก์และจำเลยได้ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างต่อกันในราคา ๑๑,๒๐๐,๐๐๐ บาท ตามเอกสารหมาย จ.๑ โดยตกลงกันว่าโจทก์จะจัดการโอนให้แก่จำเลยในวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๒๓ และในวันทำสัญญาจำเลยผู้ซื้อจะต้องนำเงินสด ๑,๖๐๐,๐๐๐ บาท มาวางเป็นมัดจำ จำเลยมีเงินสด ๑๐๐,๐๐๐ บาทมาวางเป็นมัดจำส่วนอีก ๑,๕๐๐,๐๐๐ บาทจำเลยได้ทำสัญญากู้ยืมเอกสารหมาย จ.๒ ให้แก่โจทก์ผู้ขายไว้แทน ซึ่งสัญญากู้ได้กำหนดชำระเงินไว้วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๒๔ ต่อมาจำเลยได้ผิดสัญญาจะซื้อขายที่ดินซึ่งโจทก์มีสิทธิริบเงินมัดจำได้ และเมื่อครบกำหนดชำระเงินตามสัญญากู้ยืมจำเลยก็ผิดนัดไม่ชำระเงิน มีปัญหาว่าโจทก์มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมดังกล่าวได้หรือไม่เห็นว่าสัญญากู้ยืมตามเอกสารหมาย จ.๒ เป็นสัญญากู้ยืมที่จำเลยทำไว้แก่โจทก์แทนการวางมัดจำเป็นเงินสด สัญญากู้ยืมดังกล่าวจึงมีมูลหนี้มาจากการที่จำเลยมีหนี้ที่จะต้องวางมัดจำตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเมื่อจำเลยผิดสัญญาจะซื้อขายดังกล่าวซึ่งโจทก์มีสิทธิรับเงินมัดจำ โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องบังคับตามสัญญากู้ยืมดังกล่าวได้เพราะมีมูลหนี้ต่อกันอยู่ และกรณีเช่นนี้ถือได้ว่าได้มีการส่งมอบเงินให้ผู้กู้แล้ว เมื่อต่อมาสัญญากู้ยืมครบกำหนดจำเลยไม่ชำระหนี้ โจทก์ผู้ให้กู้ก็มีสิทธิฟ้องเรียกร้องให้จำเลยชำระเงินได้โดยถือว่าจำเลยผิดนัดตั้งแต่วันถัดจากวันครบกำหนดตามสัญญากู้เป็นต้นไปฎีกาของโจทก์ที่ว่าสัญญากู้ยืมมีมูลหนี้ต่อกันฟังขึ้น
สำหรับประเด็นเรื่องค่าเสียหายนั้น เมื่อโจทก์ได้บอกกล่าวทวงถามให้จำเลยชำระเงินตามสัญญากู้ยืมซึ่งจะครบกำหนดชำระหนี้ในวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๒๔ จำเลยทราบแล้วเพิกเฉย จำเลยจึงตกเป็นผู้ผิดนัดและต้องชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์ร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีเท่ากับดอกเบี้ยโดยคิดตั้งแต่วันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๒๔ อันเป็นวันผิดนัดเป็นต้นไป
พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงินกู้ยืมจำนวน ๑,๕๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมค่าเสียหายอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันผิดนัดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์