คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4043/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยทั้งสี่พากันเข้าไปพบผู้เสียหายซึ่งนั่งอยู่ใต้ถุนเรือนโดยมี พวกอีก 5 คน รออยู่นอกบ้านและติดเครื่องรถจักรยานยนต์พร้อมที่จะออกแล่นได้ทันที เมื่อจำเลยที่ 1 ถามผู้เสียหายว่าเป็นคนบ้านโคกสำโรง ใช่หรือไม่ พอผู้เสียหายตอบว่าใช่ จำเลยที่ 2 ก็บอกให้จำเลยที่ 1 ยิง จำเลยที่ 1 ยิงผู้เสียหาย 6 นัดแต่กระสุนไม่ถูก ผู้เสียหายลุกขึ้น วิ่งขึ้นบ้านและเอาปืนมายิงถูกจำเลยที่ 3 ที่ 4 ได้รับบาดเจ็บ ตลอดเวลาดังกล่าวจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ได้ อยู่ร่วมกับจำเลยที่ 1 จนถึงขณะที่พวกของจำเลยบอกให้ถอยเนื่องจากจำเลยที่ 3 และที่ 4 ถูกกระสุนปืนที่ผู้เสียหายยิงต่อสู้มา จำเลยทั้งสี่จึงได้พากันล่าถอยออกไปจากบ้านผู้เสียหาย และขึ้นรถจักรยานยนต์ที่พวกของจำเลยติดเครื่องจอดรออยู่ดังกล่าวแล้วพากันหลบหนีไปจากพฤติการณ์ ของจำเลยเช่นนี้ ย่อมเล็งเห็นได้แล้วว่าจำเลยทั้งสี่ต่างมีเจตนาร่วมกัน ที่ต้องการฆ่าผู้เสียหาย ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ได้เป็น ตัวการร่วมกับจำเลยที่ 1 พยายามฆ่าผู้เสียหายแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสี่กับพวกที่หลบหนีอีก ๕ คน ร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงพยายามฆ่าผู้เสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๘๓, ๘๐
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสี่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๘๐ ลงโทษจำคุกคนละ ๑๐ ปี
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้ว การที่จำเลยทั้งสี่พากันเข้าไปในบ้านผู้เสียหายและยังมีพวกอีก ๕ คนรออยู่นอกบ้าน ติดเครื่องรถจักรยานยนต์ พร้อมที่จะออกแล่นไปได้ในทันทีและเมื่อจำเลยทราบว่าผู้เสียหายเป็นคนบ้านสำโรง จำเลยที่ ๒ จึงบอกให้จำเลยที่ ๑ ยิง จำเลยที่ ๑ จึงยิงปืนออกไป ๖ นัดแต่กระสุนไม่ถูกผู้เสียหาย ตลอดเวลาเหล่านี้ จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ ได้อยู่ร่วมกับจำเลยที่ ๑ จนถึงขณะที่พวกของจำเลยบอกให้ถอยเนื่องจากจำเลยที่ ๓ และที่ ๔ ถูกกระสุนปืนที่ผู้เสียหายยิงต่อสู้มาจำเลยทั้งสี่จึงได้พากันล่าถอยออกไปจากบ้านผู้เสียหาย และขึ้นรถจักรยานยนต์ที่พวกของจำเลยติดเครื่องจอดรออยู่ดังกล่าวแล้วพากันขับหลบหนีไป จากพฤติการณ์ของจำเลยเช่นนี้ ย่อมเล็งเห็นได้แล้วว่าจำเลยทั้งสี่ต่างมีเจตนาร่วมกันที่ต้องการฆ่าผู้เสียหาย โดยจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ ได้อยู่ร่วมในเหตุการณ์ตั้งแต่เริ่มต้นจนสิ้นสุดจะว่าจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ ไม่มีส่วนรู้เห็นได้อย่างไร โดยเฉพาะจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ออกคำสั่งให้จำเลยที่ ๑ ยิงผู้เสียหายในทันทีที่ทราบว่าผู้เสียหายเป็นคนบ้านสำโรงและขณะจำเลยที่ ๑ ถือปืนจ้องไปยังนางฉอ้อนและนางสาวจีรนุชภริยาและน้องสาวของผู้เสียหาย จำเลยที่ ๓ ที่ ๔ ก็ยืนคุมเชิงอยู่ด้านหลัง ข้อเท็จจริงดังกล่าวถือได้ว่าจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ ได้เป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ ๑ แล้ว ทั้งเป็นการกระทำที่อุกอาจโดยเข้าไปยิงผู้เสียหายถึงในบ้านในเวลากลางวันแสก ๆ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๒ ที่ ๒ และที่ ๔ นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share