แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้คู่ความจะมิได้ฎีกาขอให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นดำเนินการ พิจารณาสืบพยานแล้วพิพากษาใหม่ก็ตาม เมื่อคดีปรากฏว่ามีความจำเป็นที่จะต้องฟังข้อเท็จจริงเพิ่มเติมจากคำฟ้องของโจทก์และคำให้การของจำเลย เพื่อให้การวินิจฉัยคดีเป็นไปโดยถูกต้องเที่ยงธรรม ศาลฎีกาก็คงมีอำนาจย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นทำการสืบพยานให้ได้ข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญแก่คดีจนสิ้นกระแสความแล้วพิพากษาใหม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 ประกอบกับมาตรา 247
ย่อยาว
ั
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ใช้เครื่องหมายการค้ารูปปลาโลมาและอักษร dolphin กับสินค้าพื้นรองเท้ายางจำหน่าย และได้ยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าดังกล่าวต่อกรมทะเบียนการค้า ต่อมาโจทก์ได้รับแจ้งจากกรมทะเบียนการค้าว่าเครื่องหมายการค้าของโจทก์เหมือนหรือเกือบเหมือนเครื่องหมายการค้าของจำเลยซึ่งขอจดทะเบียนไว้ก่อน กล่าวคือเป็นรูปปลาโลมาอยู่ในลักษณะกระโจนตัวลอย ลำตัวโค้ง หัวปลาอยู่ทางซ้ายและหางปลาอยู่ทางขวาเช่นเดียวกับโจทก์ ผิดกันตรงใช้อักษรโรมันว่า Porpoise การที่จำเลยเลียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เพราะนายทะเบียนเครื่องหมายการค้าไม่อาจดำเนินการจดทะเบียนให้กับโจทก์ได้ ขอให้ห้ามจำเลยใช้เครื่องหมายการค้ารูปปลาโลมากับสินค้าพื้นรองเท้ายางอีกต่อไไป
จำเลยให้การว่า จำเลยประกอบผลิตพื้นรองเท้ายางใช้เครื่องหมายการค้ารูปปลาโลมาและใช้อักษร Porpoise ออกจำหน่ายก่อนโจทก์ โจทก์จ้างคนงานของจำเลยไปลอกเลียนสูตรทำพื้นรองเท้า และลอกเลียนเครื่องหมายการค้ารูปปลาโลมาของจำเลย จำเลยจึงได้ไปยื่นคำขอจดทะเบียนไว้ก่อน โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นสอบคู่ความถึงรูปแบบเครื่องหมายการค้าที่โจทก์และจำเลยยื่นคำขอจดทะเบียนแล้ว ให้งดชี้สองสถานและสืบพยานโจทก์ และพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัย ที่จำเลยแก้ฎีกาว่า โจทก์อุทธรณ์เพียงขอให้ศาลอุทธรณ์สั่งให้ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วส่งสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาเท่านั้น ข้อฎีกาของโจทก์ที่ขอให้สั่งย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วพิพากษาใหม่นั้น จึงมิใช่ข้อฎีกาที่โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ จึงไม่มีลักษณะเป็นฎีกาตามความหมายของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๗ นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อคดีปรากฏว่ามีความจำเป็นจะต้องฟังข้อเท็จจริงเพิ่มเติมจากคำฟ้องของโจทก์และคำให้การของจำเลย เพื่อให้การวินิจฉัยชี้ขาดคดีเป็นไปโดยถูกต้องเที่ยงธรรม แต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดชี้สองสถานและงดสืบพยานโจทก์เสียเช่นนี้ แม้คู่ความจะมิได้ฎีกาขอให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาสืบพยานแล้วพิพากษาใหม่ก็ตาม ศาลฎีกาก็คงมีอำนาจย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นทำการสืบพยานให้ได้ข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญแห่งคดีจนสิ้นกระแสความแล้วพิพากษาใหม่ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๒๔๓ ประกอบกับมาตรา ๒๔๗
พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสืบพยานโจทก์จำเลยจนสิ้นกระแสความแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี.