คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 452/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

มูลกรณีเดิมโจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่า ที่ดินตาม ส.ค.1 พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองของโจทก์ ให้จำเลยดำเนินการรังวัดออกโฉนดที่ดินแปลงดังกล่าวและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่โอนให้โจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าไปเกี่ยวข้อง และให้จำเลยรับชำระเงินที่ดินที่ค้างชำระอีก 14,800 บาทไปจากโจทก์ในวันจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน จำเลยให้การต่อสู้คดี ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าไปเกี่ยวข้อง ให้ยกคำขออื่นนอกจากนี้จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยดำเนินการออกโฉนดจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทให้แก่โจทก์ โดยให้จำเลยรับชำระราคาที่ดิน 14,800 บาทจากโจทก์ในวันจดทะเบียน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกาศาลฎีกาพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เป็นให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ดังนี้ คำขอของโจทก์ที่ขอให้บังคับจำเลยดำเนินการออกโฉนดและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทให้แก่โจทก์นั้นเป็นการขอบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อจะขายซึ่งเป็นสัญญาต่างตอบแทน หากศาลพิพากษาบังคับให้ตามที่โจทก์ขอ โจทก์ก็มีหน้าที่จะต้องชำระค่าที่พิพาท ซึ่งยังค้างชำระอีก 14,800 บาท แก่จำเลย แต่เมื่อศาลฎีกาพิพากษายกคำขอของโจทก์ในข้อนี้เสียแล้ว จำเลยจึงไม่มีสิทธิขอให้ศาลบังคับโจทก์ชำระเงินค่าที่พิพาทที่เหลือโดยจำเลยมิได้ถูกบังคับให้ปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อจะขายได้ เป็นเรื่องที่จำเลยจะไปฟ้องเรียกเอาจากโจทก์เป็นคดีใหม่

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่า ที่ดินตามหนังสือ ส.ค. ๑ เป็นกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองของโจทก์ ให้จำเลยดำเนินการรังวัดออกโฉนดที่ดินแปลงดังกล่าวและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่โอนให้โจทก์หากจำเลยไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยห้ามจำเลยและบริวารเข้าไปเกี่ยวข้อง และให้จำเลยรับชำระเงินที่ดินซึ่งค้างชำระอีก ๑๔,๘๐๐ บาท ไปจากโจทก์ในวันจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน จำเลยให้การต่อสู้คดีว่าที่พิพาทเป็นของนางใบ คชเดช มารดาจำเลยเป็นเจ้าของร่วมกับนายใหม่ด้วย นายใหมไม่มีสิทธินำที่ดินส่วนของนางใบไปขาย โจทก์กระทำการฉ้อฉลหลอกให้นายใหมทำนิติกรรมซื้อขาย ซึ่งได้ถูกบอกล้างแล้ว โจทก์อาศัยอยู่ในที่ดินในฐานะผู้เช่า ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องส่วนที่โจทก์ขอให้จำเลยรังวัดออกโฉนดแล้วจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์นั้นเห็นว่าสภาพไม่อาจเปิดช่องให้บังคับได้ และโจทก์มีทางที่จะดำเนินการออกโฉนดได้เองอยู่แล้ว โดยใช้คำพิพากษาเป็นหลักฐานในการออกโฉนด จึงให้ยกคำขออื่นนอกจากนี้จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยดำเนินการออกโฉนดจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติ ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย โดยให้จำเลยรับชำระราคาที่ดิน ๑๔,๘๐๐ บาท จากโจทก์ในวันจดทะเบียน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา ศาลฎีกาพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เป็นให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
วันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๒๕ จำเลยยื่นคำร้องว่า โจทก์ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาโดยไม่ชำระเงิน ๑๔,๘๐๐ บาทให้แก่จำเลย
วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๒๕ ศาลชั้นต้นนัดสอบถามแล้วสั่งว่าให้โจทก์ชำระเงินที่ค้างตามคำฟ้องของโจทก์ ๑๔,๘๐๐ บาท ให้จำเลย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของจำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาจะต้องวินิจฉัยว่าจำเลยจะขอให้ศาลบังคับโจทก์ชำระเงิน ๑๔,๘๐๐ บาทเพื่อชำระค่าที่พิพาทส่วนที่เหลือได้หรือไม่พิเคราะห์แล้ว มูลกรณีเดิมนั้นศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า นายใหม่ คชเดช บิดาจำเลยทำหนังสือสัญญาจะซื้อจะขายที่พิพาทให้โจทก์และมอบที่พิพาทให้โจทก์ครอบครองตลอดมา โจทก์ชำระค่าที่พิพาทให้นายใหมแล้วบางส่วน คงค้างชำระอีก ๑๔,๘๐๐ บาท ตกลงกันว่าโจทก์จะชำระเงินที่เหลือดังกล่าวแก่นายใหมในวันจดทะเบียนการโอนพิพากษาให้จำเลยดำเนินการออกโฉนดและจดทะเบียนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทให้แก่โจทก์โดยให้จำเลยรับชำระราคาที่ดินที่เหลืออีก ๑๔,๘๐๐ บาท จากโจทก์ในวันจดทะเบียนจำเลยฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องบังคับให้จำเลยดำเนินการออกโฉนดและจดทะเบียนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทให้โจทก์ นั้นว่า ศาลชั้นต้นพิพากษายกคำขอส่วนนี้ของโจทก์ โจทก์มิได้อุทธรณ์ประเด็นข้อนี้จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นการที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยดำเนินการออกโฉนดและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทให้แก่โจทก์ จึงเป็นการไม่ชอบ พิพากษาแก้เป็นให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นเห็นว่า คำขอของโจทก์ที่ขอให้บังคับจำเลยดำเนินการออกโฉนดและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทให้แก่โจทก์นั้นเป็นการขอบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อจะขายซึ่งเป็นสัญญาต่างตอบแทน หากศาลพิพากษาบังคับให้ตามที่โจทก์ขอ โจทก์ก็มีหน้าที่จะต้องชำระค่าที่พิพาทซึ่งยังค้างชำระอีก ๑๔,๘๐๐ บาท แก่จำเลย แต่คำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวได้วินิจฉัยยกคำขอของโจทก์ในข้อนี้เสียแล้ว จำเลยจึงไม่มีสิทธิขอให้ศาลบังคับโจทก์ชำระเงินค่าที่พิพาทที่เหลือ ๑๔,๘๐๐ บาท โดยจำเลยมิได้ถูกบังคับให้ปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อจะขายได้ เป็นเรื่องที่จำเลยจะไปฟ้องเรียกเอาจากโจทก์เป็นคดีใหม่ ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ.

Share