คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3397/2527

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ขณะจำเลยที่ 4 ที่ 5 ทำสัญญาจำนองที่ดินและสัญญาต่อท้ายสัญญาจำนองที่ดินกับโจทก์เพื่อประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 เป็นลูกหนี้โจทก์เฉพาะหนี้ตาม สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีเท่านั้น ส่วนหนี้ตามสัญญาขายลดเช็คยังไม่เกิดขึ้น เพราะจำเลยที่ 1เพิ่งทำสัญญาขายลดเช็คกับโจทก์ในภายหลัง อีกทั้งข้อความตามสัญญาต่อท้าย สัญญาจำนองที่ดินเป็นประกันมีข้อความว่าประกันเงินที่เบิกไปจากผู้รับจำนองเกินกว่ายอดเงินในบัญชีหรือเงินที่ เป็นหนี้อยู่ในเวลานี้หรือเป็นต่อไปในภายหน้า ย่อมมี ความหมายถึงหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีโดยตรง หาใช่หนี้ตามสัญญาขายลดเช็คหรือหนี้อื่นที่ยังมิได้ เกิดขึ้นแต่อย่างใดไม่ และตามหนังสือสัญญาจำนองก็ระบุถึงหนี้ที่รับจำนองอยู่ในเวลานี้หรือเวลาใดต่อไป ภายหน้า ก็หมายถึงกำหนดเวลา มิได้หมายถึงลักษณะของหนี้ ไม่มีข้อความที่ระบุให้ค้ำประกันหนี้ตามสัญญาขายลดเช็คหรือ หนี้อย่างอื่นคนละประเภทกันที่จะเกิดมีขึ้นภายหน้า การตีความถึงเจตนาของคู่สัญญาในกรณีที่มีข้อสงสัยเช่นนี้ ท่านให้ตีความไปในทางที่เป็นคุณแก่คู่กรณีฝ่ายซึ่งจะต้องเสียในมูลหนี้นั้น ดังที่บัญญัติไว้ใน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 11 การที่ตีความถึงเจตนา ให้เป็นโทษแก่จำเลยที่ 4 ที่ 5 ซึ่งจะเป็นผู้ต้องเสียในมูลหนี้จึงขัดต่อบทกฎหมายดังกล่าว ดังนั้นต้องฟัง ว่าสัญญาจำนองที่ดินและสัญญาต่อท้ายสัญญาจำนองที่ดินไม่ได้ ประกันถึงหนี้ที่เกิดจากสัญญาขายลดเช็คซึ่งจำเลยที่ 1 ทำกับโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ ได้ทำสัญญาบัญชีเดินสะพัดโดยเปิดบัญชีเงินฝากประเภทกระแสรายวันต่อธนาคารโจทก์ จำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับธนาคารโจทก์หลายครั้ง ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ ๘ เมษายน ๒๕๒๐ ในวงเงิน ๑,๑๐๐,๐๐๐ บาท ถึงวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๒๐ คิดบัญชีแล้วเป็นหนี้โจทก์อยู่จำนวนหนึ่ง ต่อจากนั้นไม่เคยฝากหรือเบิกเงินไปอีกเลย เพียงแต่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเป็นต้นเงินตามสัญญาถึงวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๒๑ เป็นหนี้โจทก์ ๑,๔๒๘,๐๐๕.๐๘ บาท เมื่อระหว่างวันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๒๐ ถึงวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๒๐ จำเลยที่ ๑โดยจำเลยที่ ๒ ทำสัญญาขายลดเช็คไว้แก่โจทก์ และสลักหลังเช็คซึ่งสั่งจ่ายโดยจำเลยที่ ๓ ที่ ๒ และผู้มีชื่อขายให้โจทก์ เมื่อโจทก์เรียกเก็บเงินธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงินจึงเป็นหนี้โจทก์พร้อมดอกเบี้ยคิดถึงวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๒๑ เป็นเงิน ๑,๙๔๕,๕๘๖.๙๗ บาท เพื่อประกันหนี้ของจำเลยที่ ๑ ทั้งสองรายการทั้งที่มีอยู่และจะมีขึ้นในภายหน้า จำเลยที่ ๔ และที่ ๕ ทำสัญญาจำนองที่ดินไว้แก่โจทก์ ต่อมาทำสัญญาค้ำประกันเงินกู้ไว้แก่โจทก์ และจำเลยที่ ๒ ที่ ๖ ได้ทำสัญญาค้ำประกันหนี้ตามสัญญาลดเช็คไว้แก่โจทก์ ก่อนฟ้องโจทก์บอกกล่าว ทวงถาม และแจ้งบังคับจำนองแก่จำเลยทุกคนแล้ว จำเลยเพิกเฉย ขอให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๔ ที่ ๕ และที่ ๖ ร่วมกันชำระหนี้ไถ่ถอนจำนองพร้อมดอกเบี้ยให้จำเลยที่ ๓ ร่วมกับจำเลยที่ ๑ที่ ๒ ที่ ๔ ที่ ๕ และที่ ๖ ชำระเงินตามจำนวนที่สั่งจ่ายเช็คพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๔ ที่ ๕ ที่ ๖ ให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม สัญญาค้ำประกันหนี้ตามสัญญากู้เงินเกินบัญชี มิได้ประกันหนี้ตามสัญญาขายลดเช็ค โจทก์สามารถบังคับชำระหนี้เอาแก่จำเลยที่ ๑ ได้ และต่อสู้ในข้ออื่นอีก
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ร่วมกันใช้เงินตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีพร้อมดอกเบี้ย และให้ใช้เงินตามสัญญาขายลดเช็คและดอกเบี้ยให้จำเลยที่ ๔ และที่ ๕ ชำระหนี้ไถ่ถอนจำนอง หากไม่ชำระให้ยึดที่ดินจำนองขายทอดตลาดถ้าได้เงินไม่พอชำระหนี้ในวงเงิน ๑,๐๐๐,๐๐๐บาทตามสัญญาจำนอง ให้ยึดทรัพย์สินอื่นขายทอดตลาดใช้แทนจนครบและให้ร่วมรับผิดในหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีตามจำนวนที่จำเลยที่ ๑ต้องรับผิด ให้จำเลยที่ ๖ ร่วมรับผิดในหนี้ขายลดเช็คของจำเลยที่ ๑ ไม่เกิน๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท และให้จำเลยที่ ๓ รับผิดใช้เงินตามเช็คตามจำนวนที่สั่งจ่ายพร้อมดอกเบี้ย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๔ ที่ ๕ ร่วมกับจำเลยที่ ๑ชำระหนี้ไถ่ถอนจำนองให้โจทก์เป็นเงิน ๓,๓๗๓,๕๙๒.๐๕ บาท และดอกเบี้ยหากไม่ชำระหรือชำระไม่ครบ ให้ยึดทรัพย์จำนองขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์จนครบถ้าขายทอดตลาดทรัพย์จำนองได้เงินไม่พอชำระหนี้ ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ ๔ ที่ ๕ ขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้โจทก์จนครบ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ ๔ ที่ ๕ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ ๔ ที่ ๕ ฎีกาว่าไม่ต้องรับผิดตามสัญญาจำนองที่ดินและสัญญาต่อท้ายสัญญาจำนองที่ดิน เพราะสัญญาดังกล่าวระงับสิ้นไปแล้วเนื่องจากสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีฉบับก่อน ๆ ที่ทำไว้ก่อนวันที่ ๘ เมษายน ๒๕๒๐ ได้มีการชำระหนี้หมดสิ้นแล้ว สัญญาจำนองที่ประกันหนี้ดังที่กล่าวย่อมระงับไปด้วย กับปัญหาที่ว่าฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่นั้น เห็นว่า ปัญหาทั้งสองนี้ไม่มีฝ่ายใดยกขึ้นกล่าวในชั้นศาลอุทธรณ์จึงมิใช่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยมีว่า สัญญาจำนองที่ดินและสัญญาต่อท้ายสัญญาจำนองที่ดิน ซึ่งจำเลยที่ ๔ ที่ ๕ ทำกับโจทก์ นอกจากประกันหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีของจำเลยที่ ๑ แล้ว ยังประกันหนี้ตามสัญญาขายลดเช็คระหว่างจำเลยที่ ๑ กับโจทก์ด้วยหรือไม่ เห็นว่าสัญญาจำนองที่ดินและสัญญาต่อท้ายสัญญาจำนองที่ดินทำขึ้นเมื่อวันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๑๓ และวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๒๐ ขณะทำสัญญาเหล่านั้นจำเลยที่ ๑ เป็นลูกหนี้โจทก์เฉพาะหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีเท่านั้น ส่วนหนี้ตามสัญญาขายลดเช็คยังไม่เกิดขึ้น จำเลยที่ ๑ เพิงทำสัญญาขายลดเช็คกับโจทก์ในภายหลัง คือเมื่อระหว่างวันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๒๐ ถึงวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๒๐ อีกทั้งข้อความตามหนังสือสัญญาต่อท้ายหนังสือสัญญาจำนองที่ดินเป็นประกัน ในแบบพิมพ์ข้อ ๑ มีข้อความว่า ประกันเงินที่เบิกไปจากผู้รับจำนองเกินกว่ายอดเงินในบัญชีหรือเงินที่เป็นหนี้อยู่ในเวลานี้หรือเป็นต่อไปในภายหน้า ย่อมมีความหมายถึงหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีโดยตรง หาใช่หนี้ตามสัญญาขายลดเช็คหรือหนี้อื่นที่ยังมิได้เกิดขึ้นแต่อย่างใดไม่ และตามหนังสือสัญญาจำนองข้อ ๑ ก็ระบุถึงหนี้ที่รับจำนองอยู่ในเวลานี้หรือเวลาใดต่อไปภายหน้า ก็หมายถึงกำหนดเวลา มิได้หมายความถึงลักษณะของหนี้ ไม่มีข้อความที่ระบุให้ผู้ค้ำประกันถึงหนี้ตามสัญญาขายลดเช็คหรือหนี้อย่างอื่นคนละประเภทกันที่จะเกิดมีขึ้นภายหน้า การตีความถึงเจตนาของคู่สัญญาในกรณีที่มีข้อสงสัยเช่นนี้ ท่านให้ตีความไปในทางที่เป็นคุณแก่คู่กรณีฝ่ายซึ่งจะเป็นผู้ต้องเสียในมูลหนี้นั้น ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๑ การที่ศาลอุทธรณ์ตีความถึงเจตนาให้เป็นโทษแก่จำเลยที่ ๔ ที่ ๕ ซึ่งจะเป็นผู้ต้องเสียในมูลหนี้จึงขัดต่อบทกฎหมายดังกล่าว ดังนั้นต้องฟังว่าสัญญาจำนองที่ดินและสัญญาต่อท้ายสัญญาจำนองที่ดินไม่ได้ประกันถึงหนี้ที่เกิดจากสัญญาขายลดเช็คซึ่งจำเลยที่ ๑ทำกับโจทก์
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๔ ที่ ๕ ร่วมกันชำระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีพร้อมด้วยดอกเบี้ย หากไม่ชำระหรือชำระไม่ครบให้ยึดทรัพย์จำนองและทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ ๔ ที่ ๕ ขายทอดตลาดใช้หนี้จนครบ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share