คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2069/2527

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยจดทะเบียนจำนองที่ดินที่มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ไว้ต่อโจทก์ ต่อมาจำเลยขายที่ดินดังกล่าวให้แก่ผู้ร้องโดย ส่งมอบการครอบครองซึ่งมีผลบังคับได้ตามกฎหมาย ผู้ร้องย่อมอยู่ในฐานะเป็นผู้รับโอนที่พิพาทซึ่งเป็นทรัพย์สินจำนองตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 735 เมื่อโจทก์ยังมิได้บอกกล่าวบังคับจำนองแก่ผู้ร้องตามบทบัญญัติดังกล่าว โจทก์จึงไม่มีสิทธินำยึดที่พิพาทออกขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้อันเป็นการบังคับจำนองเอากับที่พิพาทได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องจำเลยให้ชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมโดยจดทะเบียนจำนองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นประกัน ศาลพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ มิฉะนั้นให้ยึดทรัพย์สินที่จำนองออกขายทอดตลาด แต่จำเลยไม่ชำระหนี้ โจทก์จึงนำยึดที่ดินแปลงดังกล่าว
ผู้ร้องร้องว่า ที่ดินที่โจทก์นำยึดเป็นของผู้ร้องซึ่งซื้อมาจากจำเลย ขอให้ถอนการยึด
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ถอนการยึดที่ดินตามคำร้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ที่พิพาทเป็นที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์โดยจำเลยเป็นเจ้าของ จำเลยจดทะเบียนจำนองที่พิพาทเป็นประกันหนี้กู้ยืมเงินไว้ต่อโจทก์ ต่อมาจำเลยได้ขายที่พิพาทให้แก่ผู้ร้องโดยมิได้จดทะเบียนการซื้อขายต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ แต่ได้ส่งมอบการครอบครองที่พิพาทให้แก่ผู้ร้องแล้ว ต่อมาจำเลยไม่ชำระเงินคืนโจทก์จึงฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้และนำยึดที่พิพาทเพื่อชำระหนี้ แล้ววินิจฉัยปัญหาตามฎีกาของโจทก์ที่ว่า โจทก์จะต้องบอกกล่าวบังคับจำนองต่อผู้ร้องซึ่งเป็นผู้รับโอนตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๗๓๕ บัญญัติไว้หรือไม่ว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๗๓๕บัญญัติว่า “เมื่อผู้รับจำนองคนใดจำนงจะบังคับจำนองเอาแก่ผู้รับโอนทรัพย์สินซึ่งจำนองท่านว่าต้องมีจดหมายบอกกล่าวแก่ผู้รับโอนล่วงหน้าเดือนหนึ่งก่อนแล้วจึงจะบังคับจำนองได้” จึงเป็นที่เห็นได้ว่าบทบัญญัติมาตรา ๗๓๕ ดังกล่าวนี้เป็นบทบังคับให้ผู้รับจำนองจำต้องมีจดหมายบอกกล่าวบังคับจำนองให้ผู้รับโอนทรัพย์สินซึ่งจำนองทราบล่วงหน้าเป็นเวลาหนึ่งเดือนก่อน เมื่อผู้รับโอนไม่ชำระหนี้ ผู้รับจำนองจึงจะมีสิทธิบังคับจำนองเอาจากทรัพย์สินที่จำนองได้ เมื่อข้อเท็จจริงที่ผู้ร้องกับโจทก์นำสืบฟังได้ว่าที่พิพาทเป็นที่ดินที่มีหลักฐานเพียง น.ส. ๓ ที่พิพาทจึงเป็นที่ดินมือเปล่า ซึ่งผู้เป็นเจ้าของมีแต่สิทธิครอบครองเมื่อจำเลยได้โอนการครอบครองที่พิพาทให้ผู้ร้องไปตามสัญญาซื้อขายตั้งแต่วันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๖ และจำเลย ได้ทำสัญญาเช่าที่พิพาทจากผู้ร้องในวันเดียวกันนั้น อันเป็นการแสดงให้เห็นว่าจำเลยได้ส่งมอบการครอบครองที่พิพาทให้ผู้ร้องตามสัญญาซื้อขาย ตั้งแต่วันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๖ แล้ว การที่จำเลยอยู่ในที่พิพาทต่อมาตามสัญญาเช่าเป็นการอยู่โดยอาศัยสิทธิของผู้ร้องเท่านั้น สิทธิครอบครองที่พิพาทจึงตกเป็นของผู้ร้อง โดยผลแห่งการโอนการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๗๘ การโอนการครอบครองระหว่างจำเลยกับผู้ร้องเช่นนี้ย่อมมีผลบังคับได้ตามบทกฎหมายข้างต้นแม้การโอนดังกล่าวจะมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๔ ทวิ ก็หาตกเป็นโมฆะไม่ เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้ร้องย่อมอยู่ในฐานะเป็นผู้รับโอนที่พิพาทซึ่งเป็นทรัพย์สินจำนองตามมาตรา ๗๓๕ ด้วย เมื่อโจทก์ยังมิได้บอกกล่าวบังคับจำนองแก่ผู้ร้องตามบทบัญญัติดังกล่าวนั้น โจทก์ย่อมไม่มีสิทธินำยึดที่พิพาทออกขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้อันเป็นการบังคับจำนองเอากับที่พิพาทได้
พิพากษายืน

Share