คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 23/2527

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

อาคารของโจทก์มีทั้งโรงเรือนที่เป็นสำนักงานและโรงงานปะปนกันอยู่ ย่อมถือได้ว่าโจทก์ใช้โรงเรือนที่เป็นสำนักงานเพื่อประโยชน์ในการดำเนินธุรกิจอุตสาหกรรมของโจทก์ให้ลุล่วงไปด้วยดี มิใช่โจทก์อยู่เองหรือให้ผู้แทนอยู่เฝ้ารักษาโรงเรือนของโจทก์ทั้งหมด จึงไม่ได้รับงดเว้นภาษีโรงเรือนและที่ดินตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดินพุทธศักราช 2475 มาตรา 10
การเพิ่มค่ารายปีย่อมขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจ และควรคำนวณค่าภาษีที่จะต้องเสียโดยถือค่ารายปีของปีที่ล่วงแล้วเป็นหลักในการคำนวณมิใช่อยู่ในดุลยพินิจของพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้มีหน้าที่ประเมินภาษีฝ่ายเดียวที่จะกำหนดค่ารายปีเพิ่มขึ้นเท่าใดก็ได้ การที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยกำหนดค่ารายปีสำหรับทรัพย์สินของโจทก์ขึ้นใหม่และคำนวณภาษีเพิ่มขึ้นกว่าปีที่ล่วงแล้วมากมาย จึงไม่เป็นการถูกต้อง
ห้องเครื่องเป็นโรงเรือนที่โจทก์ติดตั้งเครื่องจักรสำหรับใช้ดูดผงซีเมนต์จากเรือบรรทุกปูนซีเมนต์ขึ้นเก็บในยุ้งเก็บซีเมนต์อันเป็นขั้นตอนในการประกอบอุตสาหกรรมผลิตสินค้าของโจทก์ ในการประเมินภาษีจึงต้องลดค่ารายปีลงเหลือหนึ่งในสามของค่ารายปีของทรัพย์สินนั้นตามมาตรา 13แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดินพุทธศักราช 2475

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้รับใบแจ้งรายการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินประจำปี พ.ศ. ๒๕๒๓ จากเจ้าพนักงานประเมินของจำเลย โดยกำหนดค่ารายปีและให้โจทก์เสียภาษีโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ รวม ๔๔ รายการ เป็นเงิน๒๘๗,๔๙๑.๔๑ บาท โจทก์ไม่เห็นพ้องด้วยกับการประเมินภาษีดังกล่าวรวม๓๒ รายการ โดยโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง ๑๔ รายการได้รับงดเว้นภาษีโรงเรือนตามกฎหมาย และอีก ๑๘ รายการเจ้าพนักงานประเมินค่ารายปีและเรียกเก็บภาษีโรงเรือนสูงกว่าปี พ.ศ. ๒๕๒๒ มาก โจทก์จึงยื่นคำร้องต่อจำเลยที่ ๒ ขอให้พิจารณาใหม่ โดยให้โจทก์เสียภาษีตามจำเลยที่ยื่นไว้แล้ว ต่อมาจำเลยที่ ๒ ได้วินิจฉัยชี้ขาดให้โจทก์เสียภาษีโรงเรือนตามที่เจ้าพนักงานประเมินได้ประเมินไว้ จึงขอให้เพิกถอนการประเมินเรียกเก็บภาษีโรงเรือนและเพิกถอนคำชี้ขาดคำร้องของจำเลยที่ ๒ ดังกล่าว และให้จำเลยคืนเงินค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินที่เก็บเกินไปแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่ได้รับการงดเว้นภาษีโรงเรือนและที่ดินเพราะโจทก์ใช้โรงเรือนพิพาทเป็นสถานที่ประกอบการอุตสาหกรรมโดยใช้โรงเรือนดังกล่าวเป็นสำนักงานและเป็นสือกลางสำหรับติดต่อธุรกิจ และใช้เนื้อที่ดินทั้งหมดปลูกสร้างโรงเรือนและวางเสาเข็ม ดังนั้นในปี พ.ศ. ๒๕๒๓ พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยจึงได้ประเมินค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินเพิ่มขึ้นจาก ปี พ.ศ. ๒๕๒๒โดยได้ประเมินภาษีโรงเรือนควบกับที่ดินที่ใช้ต่อเนื่องกับอาคารต่าง ๆทั้งนี้ได้นำเทียบกับโรงเรือนซึ่งมีขนาดและพื้นที่ใกล้เคียงกับของโจทก์ การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำชี้ขาดคำร้องอุทธรณ์ชอบแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า การประเมินเรียกเก็บภาษีและคำชี้ขาดคำร้องอุทธรณ์ของจำเลยชอบแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ควรได้รับการงดเว้นไม่ต้องเสียภาษีโรงเรือนและที่ดินรวม ๑๔ รายการ ส่วนค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินที่โจทก์ขอลดหย่อน๑๘ รายการนั้นเห็นว่าการประเมินของเจ้าพนักงานและคำชี้ขาดชอบด้วยกฎหมายแล้วพิพากษาแก้เป็นว่าให้เพิกถอนการประเมินเรียกเก็บภาษีโรงเรือนและที่ดินรวมทั้งคำชี้ขาดของจำเลยรวม ๑๔ รายการ ให้จำเลยที่ ๑ คืนเงินภาษีจำนวน ๖๐,๕๐๔ บาทแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาขอให้จำเลยที่ ๑ คืนเงินค่าภาษีอีก ๑๘ รายการตามคำฟ้องเป็นเงิน ๑๔๙,๕๔๐.๑๕ บาท
จำเลยทั้งสองฎีกาขอให้ยกฟ้อง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาข้อแรกตามฎีกาของจำเลยมีว่า โจทก์มีสิทธิได้รับงดเว้นภาษีโรงเรือนและที่ดินสำหรับโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างรวม ๑๔ รายการหรือไม่ เห็นว่า โจทก์มีอาคารเลขที่ ๑๓๖๕ กลุ่มหนึ่งประกอบด้วยโรงเรือน ๓๐ หลังและอาคารเลขที่ ๑๕๑๖ อีกกลุ่มหนึ่งประกอบด้วยโรงเรือน ๑๔ หลัง ตั้งอยู่คนละฟากถนนประชาราษฎร์ สาย ๑ หรือถนนพิบูลสงคราม อาคารทั้งสองกลุ่มนี้มีโรงเรือนที่เป็นสำนักงานพวกหนึ่งและโรงเรือนที่เป็นโรงงานอีกพวกหนึ่ง สำหรับสำนักงานนั้นใช้เป็นที่ทำงานของเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร ส่วนโรงงานใช้เป็นที่ผลิตสินค้ากับประกอบการอุตสาหกรรมและเก็บสินค้า และที่ดินฝั่งที่อาคารเลขที่ ๑๓๖๕ ตั้งอยู่นั้นโจทก์ใช้ที่ดินวางเสาเข็ม คานสะพาน และสินค้าที่อยู่ระหว่างขั้นตอนการผลิต เห็นว่าบริษัทโจทก์มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการค้าและอุตสาหกรรมเพื่อมุ่งแสวงหาผลกำไรตามวัตถุประสงค์ ข้อ ๓ ของหนังสือบริคณห์สนธิเอกสารหมาย ล.๒ เมื่ออาคารของโจทก์ทั้งสองหมายเลขมีโรงเรือนที่เป็นสำนักงานและโรงงานปะปนกันอยู่เช่นนี้ย่อมถือได้ว่าโจทก์ใช้โรงเรือนที่เป็นสำนักงานเพื่อประโยชน์ในการดำเนินธุรกิจอุตสาหกรรมของโจทก์ให้ลุล่วงไปได้ด้วยดี มิใช่โจทก์อยู่เองหรือให้ผู้แทนอยู่เฝ้ารักษา โรงเรือนทั้งหมดของโจทก์จึงมิได้รับงดเว้นภาษีโรงเรือนและที่ดินตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พุทธศักราช ๒๔๗๕ มาตรา ๑๐ ที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๓แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดินแก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช ๒๔๗๕
ปัญหาวินิจฉัยข้อต่อไปตามฎีกาของโจทก์มีว่า โจทก์มีสิทธิได้รับการลดหย่อนภาษีโรงเรือนและที่ดินสำหรับโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างรวม ๑๘ รายการตามคำฟ้องหรือไม่ เห็นว่า การประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินต้องคิดคำนวณตามค่ารายปีของโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นกับที่ดินซึ่งใช้ต่อเนื่องกับโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นนั้น ซึ่งค่ารายปีก็ได้แก่จำนวนเงินค่าเช่าที่ทรัพย์สินนั้น ๆ สมควรจะให้เช่าได้ในปีหนึ่ง ๆ หากทรัพย์สินนั้นให้เช่า ก็ต้องถือค่าเช่าเป็นหลักในการคำนวณค่ารายปี แต่ถ้าหากมีเหตุอันบ่งให้เห็นว่าค่าเช่านั้นมิใช่จำนวนอันสมควรจะให้เช่าได้ในปีหนึ่ง ๆ พนักงานเจ้าหน้าที่ย่อมมีอำนาจแก้หรือคำนวณค่ารายปีเสียใหม่ได้ ดังนั้น การคำนวณค่ารายปีแต่ละปีสำหรับโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างที่เจ้าของให้เช่าหรือไม่ได้ให้เช่าก็ดีจึงอาจแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ จำเลยที่ ๑ ได้กำหนดค่ารายปีแต่ละปีสำหรับทรัพย์สินเป็นมาตรฐานในการคำนวณภาษีไว้ทุกเขตเพื่อความเป็นธรรม และการเพิ่มค่ารายปีย่อมขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจตามที่นายสุเวทย์เบิกความ ซึ่งน่าจะประเมินภาวะเศรษฐกิจจากดรรชนีราคาผู้บริโภคของทางราชการตามที่โจทก์นำสืบ มิใช่อยู่ในดุลยพินิจของพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้มีหน้าที่ประเมินภาษีแต่ฝ่ายเดียวที่จะกำหนดค่ารายปีเพิ่มขึ้นเท่าใดก็ได้ ทั้งควรคำนวณค่าภาษีที่จะต้องเสียในปี พ.ศ. ๒๕๒๓ โดยถือค่ารายปี พ.ศ. ๒๕๒๒ เป็นหลักในการคำนวณ ดังที่พระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พุทธศักราช ๒๔๗๕ มาตรา ๑๘บัญญัติว่า “ค่ารายปีของปีที่ล่วงแล้วนั้น ท่านให้เป็นหลักสำหรับการคำนวณค่าภาษีซึ่งจะต้องเสียในปีต่อมา” ศาลฎีกาจึงเห็นว่าการที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ กำหนดค่ารายปีสำหรับทรัพย์สินของโจทก์ประจำปี พ.ศ. ๒๕๒๓ขึ้นใหม่และคำนวณภาษีโรงเรือนและที่ดินของโจทก์เพิ่มขึ้นกว่าปี พ.ศ. ๒๕๒๒มากมาย เมื่อเปรียบเทียบตารางการเปรียบเทียบการประเมินภาษีระหว่าง ปี พ.ศ. ๒๕๒๒กับ พ.ศ. ๒๕๒๓ (เอกสารหมาย จ.๑๘) แล้วย่อมไม่เป็นการถูกต้อง เมื่อดรรชนีราคาผู้บริโภคสำหรับอาคารเคหะสถานเพิ่มขึ้นประมาณ ๑๙.๑ เปอร์เซนต์ ตามเอกสารหมาย จ.๑๖เล่มที่ ๑๐ หน้าที่ ๕ อัตราค่ารายปีและค่าภาษีโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างของโจทก์จึงควรเพิ่มขึ้นไม่เกิน ๒๐ เปอร์เซ็นต์ ดังที่โจทก์นำสืบ สมควรลดหย่อนค่าภาษีโรงเรือน๑๗ รายการตามฟ้องลง ส่วนรายการห้องเครื่องที่โจทก์ขอให้ลดค่ารายปีลง ๑ ใน ๓ ก่อนประเมินภาษี และประเมินภาษีลดลงไปคงเป็นเงินค่าภาษี ๓๐๐ บาทนั้น พิเคราะห์แล้วโจทก์นำสืบว่าห้องเครื่องเป็นโรงเรือนที่โจทก์ติดตั้งเครื่องจักรสำหรับใช้ดูดผงซีเมนต์จากเรือบรรทุกปูนซิเมนต์ขึ้นเก็บในยุ้งเก็บซีเมนต์ผงอันเป็นขั้นตอนในการประกอบอุตสาหกรรมผลิตสินค้าของโจทก์ ฝ่ายจำเลยนำสืบว่าเครื่องจักรที่จะลดภาษีให้ตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดินพุทธศักราช ๒๔๗๕ มาตรา ๑๓ นั้น ต้องเป็นเครื่องจักรที่ใช้ผลิตสินค้าหรือให้กำเนิดสินค้าเท่านั้น มิได้นำสืบหักล้างว่าเครื่องจักรดังกล่าวมิได้เป็นเครื่องจักรที่ใช้ดำเนินการอุตสาหกรรมจึงต้องฟังว่าเครื่องจักรของโจทก์เป็นเครื่องจักรที่ใช้เพื่อดำเนินการอุตสาหกรรมตามที่โจทก์นำสืบ ตามมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวบัญญัติว่า “ถ้าเจ้าของโรงเรือนใดติดตั้งส่วนควบที่สำคัญมีลักษณะเป็นเครื่องจักรกล เครื่องกระทำหรือเครื่องกำเนิดสินค้า เพื่อใช้ดำเนินการอุตสาหกรรมบางอย่าง เช่น โรงสี โรงเลื่อย ฯลฯ ขึ้นในโรงเรือนนั้น ๆ ในการประเมินท่านให้ลดค่ารายปีลงเหลือหนึ่งในสามของค่ารายปีของทรัพย์สินนั้นรวมทั้งส่วนควบดังกล่าวแล้วด้วย”
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า ให้ลดหย่อนค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินของโจทก์ตามใบแจ้งรายการประเมินรวม ๑๘ รายการ รวมเป็นเงิน๑๔๙,๕๔๐.๑๕ บาท และให้เพิกถอนคำชี้ขาดของจำเลยที่ ๒ เฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับรายการประเมินดังกล่าว ให้จำเลยที่ ๑ คืนเงินค่าภาษีแก่โจทก์ให้ยกฟ้องโจทก์ที่ขอให้เพิกถอนการประเมินและคำชี้ขาดของจำเลยที่ ๒ รวม ๑๔ รายการ

Share