แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่จำเลยยึดถือครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติ โดยจำเลยไม่ทราบว่าที่ดินดังกล่าวอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ การกระทำ ของจำเลยจึงขาดเจตนาอันเป็นองค์ประกอบความผิด จำเลยไม่มีความผิด ตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14
คำขอของโจทก์ที่ขอให้ศาลสั่งจำเลยกับบริวารออกไปจากที่ดินที่จำเลยยึดถือครอบครองนั้น เป็นคำขอในวิธีการอุปกรณ์ของโทษตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 31 วรรคท้าย เมื่อศาลมิได้พิพากษาชี้ขาดว่าจำเลยกระทำความผิดตามมาตรานี้แล้วศาลย่อมไม่มีอำนาจสั่งให้ตามที่โจทก์ขอได้
ย่อยาว
คดีสองสำนวนนี้ ศาลฎีกาพิจารณาพิพากษารวมกัน เรียกนางแม๊ะสาฮ่อบุตร จำเลยสำนวนแรกว่าจำเลยที่ ๑ และเรียกนายเจริญ อาจพัฒน์ จำเลยสำนวนที่สองว่าจำเลยที่ ๒
ทั้งสองสำนวนโจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ได้เข้ายึดถือครอบครองที่ดินในเขตป่าคลองจิหลาด อันเป็นป่าสงวนแห่งชาติ โดยจำเลยที่ ๑ ครอบครอง ๑๖ ไร่ จำเลยที่ ๒ ครอบครอง ๗ ไร่ ๓ งาน ๗๑ ตารางวา โดยฝ่าฝืนกฎหมาย ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ มาตรา ๑, ๑๔, ๓๑ และให้จำเลยทั้งสองกับบริวารออกจากป่าสงวนแห่งชาติ
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสองสำนวนและให้จำเลยทั้งสองกับบริวารออกจากเขตป่าสงวนแห่งชาติ
โจทก์ทั้งสองสำนวนและจำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์เสียทั้งสิ้นทั้งสองสำนวน
โจทก์ทั้งสองสำนวนฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยทั้งสองอยู่ในที่เกิดเหตุโดยไม่ทราบว่าที่เกิดเหตุเป็นป่าสงวนแห่งชาติ แล้ววินิจฉัยข้อกฎหมายว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองจึงขาดเจตนาอันเป็นองค์ประกอบความผิดทางอาญาและวินิจฉัยต่อไปว่า ที่โจทก์ฎีกาขอให้ศาลสั่งจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ กับบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทนั้น คำขอของโจทก์ส่วนนี้เป็นวิธีการอุปกรณ์ของโทษตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ มาตรา ๓๑ วรรคท้ายที่แก้ไขเพิ่มเติม เมื่อศาลมิได้พิพากษาชี้ขาดว่าจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ กระทำความผิดตามมาตรานี้แล้ว ศาลย่อมไม่มีอำนาจสั่งตามที่โจทก์ขอได้
พิพากษายืน