คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3305/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยไปหาผู้ตายเพราะความเจ็บใจซึ่งเกิดมานานแล้ว เมื่อจำเลยเห็นผู้ตายก็ยิงผู้ตายทันที ในวันเกิดเหตุจำเลยเป็นฝ่ายลงมือก่อเหตุจะไปเผาบ้านที่ผู้ตายพักอาศัยอยู่โดยเตรียมน้ำมันเบนซิน ไฟแช็ก ตลอดจนเตรียมยากำจัดหนูเพื่อจะฆ่าตัวตายพร้อมกับผู้ตาย บังเอิญเมื่อมาที่ห้องนอนผู้ตายพบอาวุธปืนจึงคิดจะใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายและฆ่าตัวตายตาม มูลเหตุที่จูงใจให้กระทำผิด เกิดจากความเจ็บแค้นใจซึ่งมีอยู่เดิม กรณีมิใช่บันดาลโทสะโดยถูกข่มเหง อย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม
ภายหลังจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย ผู้ตายไม่ถึงแก่ความตายทันที จำเลยใช้น้ำมันเบนซินราดผู้ตายแล้วจุดไฟเผา ซึ่งผู้ตายได้รับความเจ็บปวดและทรมานก่อนถึงแก่ความตาย แสดงให้เห็นว่าจำเลยประสงค์ให้ผู้ตายได้รับความลำบากอย่างสาหัสก่อนตาย จึงเป็นการฆ่าโดยทรมานและโดยทารุณโหดร้าย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(5),288, 80, 218(1), 91, 32, 33 และริบของกลางทั้งหมดยกเว้นอาวุธปืนของกลาง

จำเลยให้การปฏิเสธ ข้อหาพยายามฆ่าและข้อหาวางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่นส่วนข้อหาฆ่าผู้อื่นให้การรับว่าใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายจริง แต่ต่อสู้อ้างเหตุป้องกันและกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ

ระหว่างพิจารณา นางนภาพร เชี่ยวธัญญกิจ ผู้เสียหายที่ 1 มารดาของนายเสกสิทธิ์ เชี่ยวธัญญกิจ ผู้ตาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เข้าร่วมเป็นโจทก์เฉพาะในความผิดข้อหาวางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่นและข้อหาฆ่าผู้อื่น

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 218(1) ประกอบด้วยมาตรา 80, 289(5) การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ฐานพยายามวางเพลิงเผาโรงเรือนที่คนอยู่อาศัย จำคุก 4 ปี และฐานฆ่าผู้อื่นโดยกระทำทารุณโหดร้าย ให้ลงโทษประหารชีวิต คำให้การชั้นสอบสวนและคำรับของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบด้วยมาตรา 52(1)คงจำคุกจำเลยกระทงแรก 2 ปี 8 เดือน กระทงที่สองจำคุกตลอดชีวิต รวมแล้วคงจำคุกจำเลยตลอดชีวิตสถานเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91(3)ริบของกลางทั้งหมด ยกเว้นอาวุธปืนของกลาง คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

โจทก์ร่วมและจำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน

โจทก์ร่วมและจำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลย 3 ข้อหา คือ 1. วางเพลิงเผาโรงเรือนที่คนอยู่อาศัย 2. ฆ่านายเสกสิทธิ์ เชี่ยวธัญญกิจ โดยทรมานและโดยกระทำทารุณโหดร้าย และ 3. พยายามฆ่านายสมชาย ยิ้มแช่ม ในข้อหาที่ 1ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานพยายามวางเพลิงเผาโรงเรือนที่คนอยู่อาศัย ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน ส่วนข้อหาที่ 3 ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยว่าโจทก์ร่วมไม่มีสิทธิอุทธรณ์ในข้อหานี้เพราะศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้โจทก์ร่วมเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการ ข้อหาที่ 1และที่ 3 จึงยุติแล้ว

คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยเฉพาะข้อหาฆ่านายเสกสิทธิ์เชี่ยวธัญญกิจ ผู้ตายประการแรกว่าจำเลยได้กระทำความผิดโดยบันดาลโทสะหรือไม่ ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุ จำเลยได้ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายและใช้น้ำมันเบนซินเทราดตัวผู้ตาย แล้วจุดไฟเผาจนไฟไหม้ตัวผู้ตาย ตามพฤติการณ์แห่งคดีน่าเชื่อว่าผู้ตายกับจำเลยรักใคร่กัน ในที่สุด จึงได้เสียกันด้วยความสมัครใจของจำเลยเอง หาใช่ถูกผู้ตายหลอกลวงไม่ ผู้ตายเคยพาจำเลยไปที่บ้าน โจทก์ร่วมก็ย่อมพอจะรู้ว่าจำเลยเป็นคนรักของผู้ตาย ที่จำเลยอ้างว่าผู้ตายปิดบังความสัมพันธ์จึงไม่น่าเชื่อ และนอกจากนั้นที่จำเลยอ้างอีกว่าผู้ตายเอาภาพถ่ายเปลือยกายของจำเลยให้จำเลยดูและข่มขู่ว่า หากจำเลยเลิกกับผู้ตายจะเอาภาพถ่ายเปลือกกายไปเปิดเผย คงมีเพียงคำเบิกความของจำเลยเท่านั้น ยิ่งกว่านั้นในชั้นสอบสวนจำเลยให้การว่าเมื่อจำเลยกลับมาคืนดีด้วย ผู้ตายได้บอกจำเลยว่าได้แอบถ่ายรูปเปลือกกายขณะที่จำเลยนอนหลับไว้ และจะคืนภาพถ่ายและฟิล์มให้ หลังจากนั้นผู้ตายก็ไม่คืน ซึ่งผู้ตายจะถ่ายรูปเปลือยกายของจำเลยไว้จริงหรือไม่จำเลยก็มิได้เห็น ผู้ตายอาจมิได้ถ่ายรูปไว้ แต่แกล้งขู่จำเลยมากกว่าเช้าวันเกิดเหตุจำเลยโทรศัพท์มาพูดคุยกับผู้ตายและโต้เถียงกัน แม้จะโต้เถียงกัน เรื่องภาพถ่ายและฟิล์มอีกจนจำเลยโมโห โทสะของจำเลยก็น่าจะยุติลงแล้ว จำเลยเบิกความว่าวันเกิดเหตุเวลา 19 นาฬิกา ผู้ตายนัดให้จำเลยไปพบและได้โต้เถียงทะเลาะกันอีกนั้น ข้อนี้ไม่น่าเชื่อ เพราะจำเลยให้การในชั้นสอบสวนว่า เมื่อทะเลาะกับผู้ตายตอนเช้าจำเลยเกิดความโมโหจึงคิดจะเผาบ้านผู้ตายเพื่อให้ไฟไหม้ฟิล์มด้วย ต่อมาเวลาประมาณ 19 นาฬิกา จำเลยจึงได้แบ่งน้ำมันเบนซินจากถังแกลนลอนที่บ้านใส่ขวดน้ำอัดลมขนาด 1 ลิตร จำนวน 1 ขวด และเอายากำจัดหนูติดตัวมาด้วย 1 ซอง โดยตั้งใจว่าหลังจากเผาบ้านแล้วจะกินยาฆ่าตัวตาย จากนั้นได้เดินทางมาโดยรถจักรยานยนต์รับจ้างไปบ้านเกิดเหตุ เมื่อไปถึงเห็นบ้านปิดอยู่ จึงได้ปีนรั้วด้านข้างเข้าไปในบ้านและใช้ลูกกุญแจไขประตูหน้าบ้านชั้นล่างเข้าไปในบ้านขึ้นไปห้องนอนของผู้ตายค้นหาฟิล์มแต่ไม่พบ กรณีจึงเชื่อได้ว่าจำเลยมิได้นัดจะไปหาผู้ตายตามที่เบิกความ แต่จำเลยไปหาผู้ตายเพราะความเจ็บใจ ซึ่งเกิดขึ้นมานานแล้ว มิใช่โทสะที่เกิดขึ้นใหม่ฉับพลันทันที เมื่อจำเลยเห็นผู้ตายก็ยิงผู้ตายทันที ศาลฎีกาเห็นว่า แม้จำเลยจะเข้าใจว่าถูกผู้ตายหลอกจนต้องตกเป็นภริยาของผู้ตายและตกเป็นเบี้ยล่างของผู้ตายมาตลอดโดยผู้ตายเอาภาพถ่ายเปลือยกายของจำเลยมาพูดขู่ไม่ให้จำเลยเลิกกับผู้ตายก็เป็นเพียงความรู้สึกเจ็บแค้นที่มีมาแต่เดิม แต่ในวันเกิดเหตุจำเลยเป็นฝ่ายลงมือก่อเหตุจะไปเผาบ้านที่ผู้ตายพักอาศัยอยู่โดยเตรียมน้ำมันเบนซิน ไฟแช็กตลอดจนเตรียมยากำจัดหนูเพื่อจะฆ่าตัวตายพร้อมกับผู้ตายซึ่งจำเลยได้เตรียมการมาก่อน บังเอิญเมื่อมาที่ห้องนอนผู้ตายพบอาวุธปืน จึงคิดจะใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายและฆ่าตัวตายตาม มูลเหตุที่จูงใจให้กระทำผิดเกิดจากความเจ็บแค้นใจซึ่งมีอยู่เดิม กรณีมิใช่บันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จึงกระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้นดังที่จำเลยฎีกา

มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการต่อไปว่า จำเลยฆ่าผู้ตายโดยทรมานและโดยกระทำทารุณโหดร้ายหรือไม่ เห็นว่า ภายหลังจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย ผู้ตายไม่ถึงแก่ความตายทันที จำเลยใช้น้ำมันเบนซินราดผู้ตายแล้วจุดไฟเผา ซึ่งผู้ตายจะได้รับความเจ็บปวดและทรมานก่อนถึงแก่ความตาย แสดงให้เห็นว่าจำเลยประสงค์ให้ผู้ตายได้รับความลำบากอย่างสาหัสก่อนตาย จึงเป็นการฆ่าโดยทรมานและโดยทารุณโหดร้าย

ส่วนที่โจทก์ร่วมฎีกาว่า ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(5) ระวางโทษประหารชีวิตสถานเดียว ที่ศาลล่างทั้งสองลงโทษจำเลยจำคุกตลอดชีวิตไม่ถูกต้องนั้น เห็นว่าแม้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(5) จะกำหนดโทษประหารชีวิตเพียงสถานเดียว แต่เมื่อศาลล่างทั้งสองลดโทษให้หนึ่งในสาม ย่อมลดโทษเป็นจำคุกตลอดชีวิตได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 52(1) คำพิพากษาศาลล่างทั้งสองที่ลงโทษจำเลยมานั้นชอบแล้ว

พิพากษายืน

Share