แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่รับจดและต่อทะเบียนยานพาหนะเก็บรักษาเงินค่าภาษียานพาหนะและค่าแผ่นป้ายหมายเลขทะเบียนยานพาหนะ ได้รับเงินที่ผู้มาต่อทะเบียนมอบให้ด้วยความสมัครใจเป็นค่าบริการ การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 เพราะเงินดังกล่าวใช้เป็นทรัพย์ที่จำเลยมีหน้าที่ซื้อ ทำจัดการหรือรักษา ทั้งไม่ใช่เป็นเงินของทางราชการหรือของรัฐบาลด้วย
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147, 154 และ 157 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา 147 ข้อหาอื่นให้ยกเสียโจทก์มิได้อุทธรณ์ข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 จึงยุติแล้วโจทก์จะฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยในฐานความผิดตามมาตรา 157 อีกไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่รับจดและต่อทะเบียนยานพาหนะ เก็บรักษาเงินค่าภาษียานพาหนะและค่าแผ่นป้ายหมายเลขทะเบียนแล้วนำเข้าเป็นรายได้ของกรมตำรวจ จำเลยได้รับจดต่อทะเบียนภาษีรถจักรยานยนต์ ๓ คัน เป็นเงินค่าภาษีคนละ ๑๐๐ บาท ค่าแผ่นป้ายเลขหมายทะเบียนคันละ ๕๐ บาท รวมเป็นเงิน ๔๕๐ บาท แต่จำเลยโดยทุจริตได้เรียกเก็บเงินรวม ๕๒๕ บาท จากนายบรรเทา ผู้มาต่อทะเบียนซึ่งเกินไป ๗๕ บาทจำเลยไม่ออกใบเสร็จรับเงินค่าภาษีและค่าแผ่นป้าย แล้วจำเลยเบียดบังเอาเงิน ๕๒๕ บาทนั้นไว้โดยทุจริต ทำให้แผนกยานพาหนะกองกำกับการตำรวจภูธรจังหวัดอุตรดิตถ์และนายบรรเทาได้รับความเสียหาย ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๗, ๑๕๔ และ ๑๕๗
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๔๗ ให้จำคุกจำเลย ข้อหาอื่นให้ยกเสีย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าเงินค่าภาษีและค่าแผ่นป้ายหมายเลขทะเบียนรวม ๔๕๐ บาท จำเลยได้ออกใบเสร็จรับเงินและส่งให้แผนกทะเบียนภาษียานพาหนะถูกต้องแล้ว ส่วนเงินจำนวน ๗๕ บาทที่เกินไปนั้น เป็นเงินของนายบรรเทามอบให้จำเลยด้วยความสมัครใจเป็นค่าบริการ หาใช่เป็นทรัพย์ที่จำเลยผู้เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาแต่อย่างใดไม่ ทั้งไม่ใช่เป็นเงินของทางราชการหรือของรัฐบาลด้วย การที่จำเลยรับเอาเงินจำนวน ๗๕ บาทนี้ไว้จึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๗
ที่โจทก์ฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า แม้การเรียกเก็บเงิน ๗๕ บาทที่เกินไปจะไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๗ แต่การกระทำของจำเลยก็เป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่นายบรรเทา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าคดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๗ มาตรา ๑๕๔ และมาตรา ๑๕๗ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา ๑๔๗ ข้อหาอื่นให้ยกเสีย โจทก์มิได้อุทธรณ์ ข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ จึงยุติแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นโจทก์จะยกขึ้นฎีกาอีกหาได้ไม่ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน