แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์เป็นพนักงานของการรถไฟแห่งประเทศไทย จำเลย มีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยนายสถานี ได้ร่วมดื่มสุรากับบุคคลภายนอกในห้องนายสถานีในขณะปฏิบัติงานในหน้าที่เกี่ยวกับการเดินรถ แม้จะไม่ถึงขั้นมึนเมา ก็ถือว่าการกระทำของโจทก์อาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่การรถไฟแห่งประเทศไทยและประชาชนอย่างร้ายแรงได้ จำเลยจึงชอบที่จะลงโทษโจทก์ไล่ออกตามกฎข้อบังคับและระเบียบการเดินรถ และประมวลการลงโทษผู้ปฏิบัติงานของการรถไฟแห่งประเทศไทยได้ กรณีมิใช่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๐๐ จำเลยได้จ้างโจทก์เป็นลูกจ้างประจำตำแหน่งเสมียนนายสถานีบำเหน็จณรงค์ แขวงเดินรถแก่งคอย เมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๒๔ จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยกล่าวหาว่า ดื่มสุราในขณะปฏิบัติหน้าที่ซึ่งเป็นความผิดร้ายแรงทั้งนี้ตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการสอบสวนและพิจารณาโทษทางวินัย ซึ่งต่อมาโจทก์ได้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อคณะกรรมการรถไฟแห่งประเทศไทยแต่คณะกรรมการรถไฟแห่งประเทศไทยยังคงยืนยันให้เลิกจ้างโจทก์ตามคำสั่งเดิม โจทก์ไม่ได้กระทำความผิดตามคำสั่งดังกล่าว การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะโจทก์มีสาเหตุโกรธเคืองกับผู้บังคับบัญชาในเรื่องส่วนตัวเป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม ทั้งในการเลิกจ้างจำเลยมิได้บอกกล่าวล่วงหน้าและไม่ได้จ่ายค่าชดเชยให้โจทก์ขอให้เพิกถอนคำสั่งไล่ออกของจำเลยที่ ๑/นท. ๑/๘๔๐๖/๒๕๒๔ ให้จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานในตำแหน่งอัตราค่าจ้างเดิม โดยถือเสมือนหนึ่งว่าไม่มีการเลิกจ้าง หากจำเลยไม่สามารถรับโจทก์กลับเข้าทำงานได้ให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าตั้งแต่วันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๒๔ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๒๔ เป็นเงิน ๗,๔๑๖ บาท ค่าเสียหายเนื่องจากเลิกจ้างไม่เป็นธรรม คิดจากอัตราเงินเดือนครั้งสุดท้ายคูณด้วยอายุการทำงานของโจทก์จนกว่าจะครบเกษียณอายุจำนวน ๑๔ ปีเป็นเงิน ๗๔๗,๖๐๐ บาท กับให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยรวม ๑๘๐ วัน เป็นเงิน ๒๖,๗๐๐ บาทแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ก่อนโจทก์ย้ายไปเป็นนายสถานีบำเหน็จณรงค์แขวงเดินรถแก่งคอย ฝ่ายการเดินรถ โจทก์มีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยนายสถานีรถไฟหนองเต็ง เมื่อวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๒๓ ขณะโจทก์ปฏิบัติหน้าที่เป็นนายสถานีรถไฟหนองเต็งซึ่งทำงานเกี่ยวกับการเดินรถ โจทก์ได้เสพสุราร่วมกับผู้อื่น จำเลยได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนโจทก์คณะกรรมการมีความเห็นว่าโจทก์เสพสุราในเวลาปฏิบัติงานในหน้าที่เกี่ยวกับการเดินรถมีความผิดตามประมวลการลงโทษผู้ปฏิบัติงานในการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๑๗ ข้อ ๑.๓๑ ซึ่งเป็นความผิดฐานประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงตามข้อบังคับคณะกรรมการรถไฟ ฉบับที่ ๓ ข้อ ๔(ฉ) โทษไล่ออก จำเลยได้นำเรื่องเข้าที่ประชุมผู้อำนวยการฝ่ายและหัวหน้าสำนักงานเมื่อวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๒๔ ที่ประชุมมีมติว่าโจทก์ได้ดื่มสุราในเวลาปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการเดินรถจริง จำเลยจึงมีคำสั่งไล่โจทก์ออกจากงานตั้งแต่วันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๒๔ เป็นต้นไป จำเลยได้ให้ความยุติธรรมแก่โจทก์อย่างเต็มที่ การสอบสวนและพิจารณาได้กระทำตามขั้นตอนทุกประการ โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะให้จำเลยรับกลับเข้าทำงานหรือเรียกค่าเสียหาย จำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะเหตุที่โจทก์ฝ่าฝืนข้อบังคับหรือระเบียบเกี่ยวกับการทำงานหรือคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของนายจ้างซึ่งเป็นกรณีร้ายแรงโจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าชดเชยตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๑๕ ข้อ ๔๗(๓) ไม่มีสิทธิเรียกสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเพราะจำเลยเลิกจ้างโจทก์ถูกต้องตามระเบียบข้อบังคับจำเลย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าไม่ถูกต้อง ที่ถูกเป็นเงินเพียง ๕,๙๓๓.๓๓ บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์ดื่มสุราในการปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการเดินรถ มีเหตุเพียงพอที่จำเลยจะเลิกจ้างโจทก์ได้ ไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม การกระทำของโจทก์เป็นการฝ่าฝืนข้อห้ามที่กำหนดไว้ในกฎข้อบังคับและระเบียบการเดินรถ พ.ศ. ๒๕๑๕ ข้อ ๒๐๖ ซึ่งมีโทษถึงไล่ออกตามที่กำหนดไว้ในประมวลการลงโทษผู้ปฏิบัติงานของการรถไฟแห่งประเทศไทยพ.ศ. ๒๕๑๗ ข้อ ๑.๓๑ ซึ่งถือได้ว่าเป็นการประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงมีโทษถึงไล่ออกตามข้อบังคับฉบับที่ ๓ ว่าด้วยระเบียบวินัยและการลงโทษพนักงานของการรถไฟแห่งประเทศไทย ข้อ ๓ และ ๔ เข้าลักษณะฝ่าฝืนข้อบังคับหรือระเบียบเกี่ยวกับการทำงานของนายจ้างในกรณีร้ายแรง จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๑๕ ข้อ ๔๗(๓) และประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๘๓ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยข้อกฎหมายว่ากฎข้อบังคับและระเบียบการเดินรถ พ.ศ. ๒๕๐๕ ข้อ ๒๐๖ กำหนดว่า “ห้ามไม่ให้พนักงานประจำขบวนรถหรือพนักงานประจำสถานีเสพสุราเมรัยและของมึนเมาในระหว่างเวลาซึ่งอยู่ในหน้าที่เป็นอันขาด หรือจะเสพนอกเวลาทำงานแต่มามึนเมาในระหว่างทำการตามหน้าที่ก็ไม่ได้เช่นเดียวกัน” ประมวลการลงโทษผู้ปฏิบัติงานของการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๑๗ ข้อ ๑ ลักษณะความผิดเกี่ยวกับความประพฤติระดับโทษไล่ออก ข้อ ๑.๓๑ กำหนดว่า “เมาหรือเสพสุราเมรัยในเวลาปฏิบัติงานในหน้าที่เกี่ยวกับการเดินรถ” เห็นได้ว่ากฎข้อบังคับและประมวลการลงโทษดังกล่าวหาได้ระบุว่าต้องเป็นการเสพสุราถึงขั้นมึนเมาไม่ทั้งถ้อยคำแสดงว่าเป็นการห้ามเสพโดยเด็ดขาด ฉะนั้นการเสพสุราในเวลาปฏิบัติงานในหน้าที่เกี่ยวกับการเดินรถ แม้ไม่ถึงขั้นมึนเมาก็อยู่ในความหมายของกฎข้อบังคับและระเบียบการเดินรถ พ.ศ. ๒๕๐๕ ข้อ ๒๐๖ และประมวลการลงโทษผู้ปฏิบัติงานของการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๑๗ ข้อ ๑.๓๑ แล้ว ส่วนที่จำเลยอาจลงโทษผู้ฝ่าฝืนไม่ถึงขั้นไล่ออกได้นั้นเนื่องจากประมวลการลงโทษผู้ปฏิบัติงานของการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๑๗ ข้อ ๒ วิธีพิจารณาโทษวรรคหนึ่งกำหนดว่า ระดับโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดต่าง ๆ ที่ระบุไว้ในประมวลการลงโทษนี้เป็นโทษสายกลาง ผู้บังคับบัญชาอาจพิจารณาโทษหนักหรือเบากว่านั้นได้ตามเงื่อนไขในข้อ ๓ สำหรับกรณีนี้โจทก์ร่วมดื่มสุรากับบุคคลภายนอกในห้องนายสถานีรถไฟในเวลาที่โจทก์ปฏิบัติหน้าที่นายสถานีทางสะดวกมีลักษณะจงใจฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับและการกระทำของโจทก์อาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่การรถไฟแห่งประเทศไทยและประชาชนอย่างร้ายแรงได้ จำเลยลงโทษโจทก์ในระดับโทษถึงขั้นไล่ออกจึงชอบด้วยระเบียบข้อบังคับแล้วหา เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ไม่
พิพากษายืน