แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การนำเช็คไปแลกเงินสดและทำสัญญากู้ไว้โดยมีข้อตกลงว่า ถ้าเช็คขึ้นเงินไม่ได้จะต้องชำระเงินตามสัญญากู้ หรือการกู้เงินโดยทำหนังสือสัญญากู้เป็นหลักฐานและมอบเช็คลงวันที่ล่วงหน้าเพื่อให้ผู้กู้นำไปขึ้นเงิน เมื่อหนี้ถึงกำหนด หามีผลแตกต่างกันไม่
จำเลยทำหนังสือสัญญากู้เงินโจทก์และมอบเช็คซึ่งบุคคลภายนอกเป็นผู้สั่งจ่ายให้โจทก์ยึดถือไว้ จำนวนเงินในเช็คตรงกับจำนวนเงินในสัญญากู้ วันสั่งจ่ายตามเช็คก็ตรงกับวันที่จำเลยต้องชำระเงินตามสัญญากู้ ในสัญญากู้ระบุไว้ด้วยว่าจำเลยได้มอบเช็คที่บุคคลอื่นเป็นผู้สั่งจ่ายจำเลยเป็นผู้สลักหลัง เพื่อให้โจทก์นำไปขึ้นเงินชำระหนี้เงินกู้เมื่อถึงกำหนด ทั้งนี้จำเลยได้รับเงินไปจากโจทก์จำนวนหนึ่ง โดยโจทก์คิดหักผลประโยชน์หรือดอกเบี้ยไว้ล่วงหน้าดังนี้มิใช่ เป็นเรื่องนิติกรรมอำพราง สัญญากู้หาตกเป็นโมฆะไม่ เมื่อโจทก์นำเช็คไปขึ้นเงินไม่ได้ จำเลยก็ต้อง ผูกพันชำระหนี้แก่โจทก์ตามสัญญากู้
การที่โจทก์ฟ้องจำเลยตามข้อตกลงในสัญญากู้ที่ว่า ถ้าโจทก์ นำเช็คไปขึ้นเงินไม่ได้จำเลยทั้งสองจะต้องชำระหนี้ตามสัญญากู้นั้น หาใช่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ ๑ ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ ชดใช้หนี้เงินกู้พร้อมทั้งดอกเบี้ยคืนให้แก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า สัญญากู้ที่จำเลยที่ ๑ ทำให้แก่โจทก์เป็นโมฆะเพราะทำขึ้นเพื่ออำพรางการแลกเปลี่ยนเช็คกับเงิน โดยจำเลยที่ ๑ นำเช็ค ๒ ฉบับซึ่งบุคคลภายนอกเป็นผู้สั่งจ่ายไปแลกเงินสดรับโจทก์ และโจทก์กับจำเลยที่ ๑ มีเจตนาจะผูกพันกันด้วยมูลหนี้ตามเช็ค แต่เช็คดังกล่าวขาดอายุความแล้วขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าสัญญากู้มิใช่นิติกรรมอำพราง พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ชำระเงิน ๘๗,๑๖๐ บาท ตามสัญญากู้ท้ายฟ้องพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ โดยจำเลยที่ ๒ ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการต้องร่วมรับผิดด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๐๗๗(๒)
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๑ ทำหนังสือสัญญากู้เงินจากโจทก์ ๒ ฉบับ และมอบเช็ค ๒ ฉบับซึ่งบุคคลภายนอกเป็นผู้สั่งจ่ายให้โจทก์ยึดถือไว้ โดยจำนวนเงินในเช็คตรงกับจำนวนเงินในสัญญากู้ และวันสั่งจ่ายก็ตรงกับวันที่จำเลยที่ ๑ จะต้องชำระเงินกู้ตามสัญญากู้ จำเลยที่ ๑ ได้รับเงินจากโจทก์จำนวนหนึ่งโดยโจทก์คิดหักผลประโยชน์หรือดอกเบี้ยไว้ล่วงหน้าในหนังสือสัญญากู้ข้อ ๕ ได้ระบุไว้ว่าจำเลยที่ ๑ ได้มอบเช็คที่บุคคลอื่นเป็นผู้สั่งจ่ายจำเลยที่ ๑ เป็นผู้สลักหลังเพื่อให้โจทก์นำไปขึ้นเงินเป็นการชำระหนี้เงินกู้เมื่อถึงกำหนด แล้ววินิจฉัยว่า การนำเช็คไปแลกเงินสดแล้วทำสัญญากู้ไว้โดยมีข้อตกลงว่าถ้าเช็คขึ้นเงินไม่ได้จะต้องชำระเงินตามสัญญากู้หรือการกู้เงินโดยทำหนังสือสัญญากู้เป็นหลักฐาน แล้วมอบเช็คลงวันที่ล่วงหน้าเพื่อให้ผู้ให้กู้นำไปขึ้นเงินเมื่อหนี้ถึงกำหนดนั้น หามีผลแตกต่างกันไม่ ฉะนั้นตามข้อเท็จจริงที่ได้ความข้างต้นจึงมิใช่เป็นเรื่องนิติกรรมอำพราง เมื่อโจทก์นำเช็คไปขึ้นเงินไม่ได้ จำเลยทั้งสองก็จะต้องผูกพันชำระหนี้แก่โจทก์ตามสัญญากู้ หาตกเป็นโมฆะไม่ และการที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองตามข้อตกลงในสัญญากู้ข้อ ๕ ที่ว่าถ้าโจทก์นำเช็คขึ้นเงินไม่ได้จำเลยทั้งสองจะต้องชำระหนี้ตามสัญญากู้นั้น หาใช่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตไม่
พิพากษายืน