แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 ที่ 2 มีภูมิลำเนาอยู่จังหวัดอุตรดิตถ์ แต่งตั้งให้ทนายความซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ที่กรุงเทพมหานครดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลแพ่งการที่ทนายความของจำเลยที่ 1 ที่ 2 มอบให้เสมียนทนายมายื่นคำร้องต่อศาลขอถอนตนจากการเป็นทนายความของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ในวันนัดสืบพยานโจทก์อ้างว่ามีความคิดเห็นไม่ลงรอยกัน โดยจำเลยที่ 1 ที่ 2 ยังไม่ทราบว่าทนายความขอถอนตนเช่นนี้ จะถือว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 จงใจไม่มาศาลในวันสืบพยานยังไม่ถนัดเพราะจำเลยที่ 1 ที่ 2 อยู่ต่างจังหวัด ส่วนทนายอยู่กรุงเทพมหานครซึ่งในวันนัดสืบพยานโจทก์ ตัวจำเลยที่ 1 ที่ 2 คงจะคาดหมายว่าทนายความของตนจะเป็นผู้ดำเนินกระบวนพิจารณาตามกฎหมายต่อไปตามปกติ มิได้คาดหมายว่าทนายจะถอนตนถ้าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ทราบก็จะต้องแต่งทนายความใหม่เพื่อสู้คดี เพราะได้ยื่นคำให้การไว้แล้วเพื่อให้ความยุติธรรมดำเนินไปด้วยดี ศาลชั้นต้นควรเลื่อนการพิจารณาไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 39
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน (ที่จังหวัดอุตรดิตถ์) ว่า จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ยอมใช้เงิน ๖๙๘,๒๗๖.๑๑ บาท ให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี โดยผ่อนชำระเป็นรายเดือน ๆ ละ ๓๕,๐๐๐ บาท ทุกวันที่ ๑๕ ของเดือน เริ่มตั้งแต่เดือนมกราคม ๒๕๒๓ เป็นต้นไป จนกว่าจะครบผิดนัดงวดใดให้ถือว่าผิดนัดทั้งหมด ให้โจทก์ฟ้องบังคับคดีที่ศาลแพ่งได้ทันทีโดยไม่ต้องบอกกล่าว จำเลยที่ ๓ เป็นผู้ค้ำประกัน จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ผิดสัญญาโดยส่งเงินมาชำระให้โจทก์เพียง ๒ ครั้ง ทั้งมิได้นำทะเบียนรถยนต์วอลโว่มาให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกันตามสัญญา โจทก์ทวงถามแล้วจำเลยเพิกเฉย ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยชำระหนี้ตามฟ้องให้โจทก์
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ให้การว่า ไม่เคยรู้จักโจทก์ไม่เคยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ ลายมือชื่อในเอกสารดังกล่าวไม่ใช่ลายมือชื่อของจำเลยที่ ๒ และไม่ได้ประทับตราของห้างจำเลยที่ ๑ จึงไม่ต้องผูกพันโจทก์ไม่เคยทวงถาม ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ให้การว่า ได้ทำสัญญาค้ำประกันการชำระหนี้ให้แก่โจทก์จริง แต่จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ มีทรัพย์สินมากกว่าจำนวนหนี้ หากมีการบังคับคดีตามคำพิพากษาขอให้บังคับเอาจากทรัพย์สินของจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ก่อน
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ชำระหนี้ตามฟ้องให้โจทก์ถ้าไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วนให้จำเลยที่ ๓ ชำระแทนจนครบ
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ขาดนัดพิจารณาให้สืบพยานโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ไปฝ่ายเดียวไม่ชอบ จึงยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ขาดนัดพิจารณา พิพากษายก คำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาสืบพยานโจทก์และจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ใหม่
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ มีภูมิลำเนาอยู่ จังหวัดอุตรดิตถ์ ได้แต่งตั้งให้ทนายความซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่กรุงเทพมหานคร ดำเนินกระบวนพิจารณาตามกฎหมายที่ศาลแพ่ง การที่ทนายความของจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ มอบให้เสมียนทนายมายื่นคำร้องต่อศาลขอถอนตนจากการแต่งตั้งเป็นทนายในวันนัดสืบพยานโจทก์ อ้างว่ามีความคิดเห็นไม่ลงรอยกันโดยจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ยังไม่ทราบว่าทนายความขอถอนตนจากการแต่งตั้งเป็นทนายเช่นนี้ จะเรียกว่าจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ จงใจไม่มาศาลในวันสืบพยานไม่ถนัดเพราะตัว จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ อยู่ต่างจังหวัด ทนายความของจำเลยทั้ง ๒ อยู่กรุงเทพมหานครซึ่งในวันนัดสืบพยานโจทก์เช่นคดีนี้ ตัวจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ คงจะคาดหมายว่าทนายความของตนจะเป็นผู้ดำเนินกระบวนพิจารณาตามกฎหมายต่อไปตามปกติ มิได้คาดหมายว่าทนายของจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ จะขอถอนตน ถ้าจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ทราบก็จะต้องแต่งทนายความใหม่เพื่อต่อสู้คดี ดังที่ได้ยื่นคำให้การไว้แล้ว ศาลฎีกาเห็นว่า เพื่อให้ความยุติธรรมดำเนินไปด้วยดี ศาลชั้นต้นควรเลื่อนการพิจารณาไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๓๙ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาสืบพยานโจทก์และจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี จึงชอบแล้ว
พิพากษายืน