คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3203/2524

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยที่ 12 แถลงขอถือเอาคำให้การของจำเลยที่ 1 ถึงจำเลยที่ 11 ซึ่งได้ยื่นเป็นหนังสือและศาลแรงงานกลางได้รับคำให้การนั้นแล้วเป็นคำให้การของจำเลยที่ 12 ด้วย และศาลแรงงานกลางได้บันทึกคำแถลงนั้นไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาแล้วกำหนดหน้าที่นำสืบไปตามประเด็นแห่งคดี จึงเท่ากับจำเลยที่ 12 ได้ให้การต่อสู้คดีเช่นเดียวกับคำให้การของจำเลยที่ 1ถึงจำเลยที่ 11และศาลแรงงานกลางได้รับคำให้การนั้นแล้วจำเลยที่ 12 จึงมีสิทธินำพยานเข้าสืบตามข้อต่อสู้ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสามเป็นลูกจ้างประจำของจำเลยที่ ๑๒ ต่อมาเมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๒๓ จำเลยที่ ๑๒ ได้เลิกจ้างโจทก์ทั้งสามอ้างว่าประสบปัญหาทางเศรษฐกิจอยู่ในภาวะขาดทุนซึ่งไม่เป็นความจริง หากแต่เลิกจ้างเพราะโจทก์ทั้งสามเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานธนบุรีประกอบรถยนต์ และโจทก์ทั้งสามได้ร่วมกันยื่นข้อเรียกร้องเกี่ยวกับสภาพการจ้างต่อจำเลยที่ ๑๒ ซึ่งมีการตกลงกันได้และได้ทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างไว้เมื่อวันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๒๓ โดยมีผลใช้บังคับ ๑ ปี การเลิกจ้างโจทก์ทั้งสามเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรม โจทก์ทั้งสามได้ร้องเรียนต่อจำเลยที่ ๑ถึงจำเลยที่ ๑๑ ซึ่งเป็นคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์วินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑๒ เลิกจ้างโจทก์ทั้งสามเพราะความจำเป็นมิได้กลั่นแกล้งลูกจ้าง มิใช่เป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรมจึงมีคำสั่งยกคำร้องของโจทก์ทั้งสาม โจทก์เห็นว่าคำสั่งดังกล่าวไม่ชอบจึงขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์และให้จำเลยที่ ๑๒ ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสามคนละ ๕๐,๐๐๐ บาท
จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๑๑ ให้การว่า จำเลยได้กระทำตามอำนาจหน้าที่และปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริตและชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ ๑๒ เลิกจ้างโจทก์ทั้งสามและพนักงานอื่นเพราะประสบปัญหาทางด้านเศรษฐกิจและอยู่ในภาวะขาดทุนและดูแลกิจการไม่ทั่วถึงซึ่งจำเลยที่ ๑๒ ก็ได้ยุบหน่วยงานอื่นอีกหลายหน่วย และได้จ่ายค่าชดเชยตามกฎหมายให้โจทก์ทั้งสามครบถ้วนแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๑๒ ไม่ยื่นคำให้การ แต่ขอถือเอาคำให้การของจำเลยที่ ๑ ถึงจำเลยที่ ๑๑ เป็นคำให้การของจำเลยที่ ๑๒ ด้วย
ระหว่างพิจารณาจำเลยที่ ๑ ถึงแก่กรรม โจทก์ขอถอนฟ้องศาลแรงงานกลางอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้อง จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ ๑ออกเสียจากสารบบความ
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑๒ มีเหตุจำเป็นที่จะต้องปรับปรุงการบริหารงานยุบแผนกใดแผนกหนึ่งตามที่เห็นสมควรการเลิกจ้างก็ไม่ปรากฏเหตุเจาะจงจะเลิกจ้างใคร หรือมีเจตนาแอบแฝงที่จะบ่อนทำลายเสถียรภาพของสหภาพแรงงาน ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏเหตุแห่งการกระทำอันไม่เป็นธรรม ไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงแก้ไขคำวินิจฉัยของจำเลยที่ ๑ ถึงจำเลยที่ ๑๑ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยข้อกฎหมายในประเด็นที่โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์ว่าจำเลยที่ ๑๒ ไม่มีสิทธินำพยานเข้าสืบ เพราะมิได้ยื่นคำให้การไว้ การที่จำเลยที่ ๑๒ ขอให้ถือเอาคำให้การของจำเลยที่ ๑ ถึงจำเลยที่ ๑๑ เป็นคำให้การของจำเลยที่ ๑๒ ด้วย จะถือว่าจำเลยที่ ๑๒ให้การแล้วไม่ได้ว่า พิเคราะห์แล้วพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๓๗ วรรคสองบัญญัติว่า”จำเลยจะยื่นคำให้การเป็นหนังสือก่อนวันเวลาที่ศาลแรงงานนัดให้มาศาลก็ได้” และมาตรา ๓๙ บัญญัติว่า “ในกรณีมีประเด็นที่ยังไม่อาจตกลงกันหรือไม่อาจประนีประนอมยอมความกัน ให้ศาลแรงงานจดประเด็นข้อพิพาทและบันทึกคำแถลงของโจทก์กับคำให้การของจำเลยอ่านให้คู่ความฟัง และให้ลงลายมือชื่อไว้” เห็นได้ว่าวิธีพิจารณาคดีแรงงานในศาลแรงงานแตกต่างกับการพิจารณาคดีแพ่งธรรมดากล่าวคือจำเลยจะยื่นคำให้การเป็นหนังสือก่อนวันที่ศาลนัดให้คู่ความมาศาล หรือจะให้การด้วยวาจาในวันนัดก็ได้ คดีนี้จำเลยที่ ๑๒ แถลงขอถือเอาคำให้การจำเลยที่ ๑ ถึงจำเลยที่ ๑๑ ซึ่งได้ยื่นเป็นหนังสือไว้ก่อนแล้วเป็นคำให้การของจำเลยที่ ๑๒ ด้วย ศาลแรงงานกลางได้บันทึกคำแถลงนั้นไว้ในรายงานกระบวนพิจารณา แล้วกำหนดหน้าที่นำสืบไปตามประเด็นแห่งคดีจึงเท่ากับจำเลยที่ ๑๒ ได้ให้การต่อสู้คดีเช่นเดียวกับคำให้การจำเลยที่ ๑ ถึงจำเลยที่ ๑๑ และศาลแรงงานกลางได้รับคำให้การนั้นแล้ว จำเลยจึงมีสิทธินำพยานเข้าสืบตามข้อต่อสู้ได้
พิพากษายืน

Share