แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เช็คขีดคร่อมที่ผู้ทรงจะต้องนำเข้าบัญชีที่ตนมีบัญชีฝากเงินในธนาคาร เพื่อเรียกเก็บเงินนั้น เป็นทางปฏิบัติของธนาคารอันเป็นรายละเอียด เมื่อผู้ทรงนำเช็คขึ้นเงินและธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงินเช็คพิพาท เพราะจำเลยผู้สั่งจ่ายมีเงินฝากในบัญชีน้อยกว่าจำนวนเงินที่จำเลยสั่งจ่ายในเช็คพิพาท ก็ถือเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ แล้ว
จำเลยได้ออกเช็คพิพาทให้ผู้มีชื่อ เพื่อใช้หนี้เงินยืม ผู้มีชื่อจึงเป็นผู้ทรงเช็คพิพาทตามกฎหมาย การที่ผู้มีชื่อนำเช็คพิพาทไปรับเงินจากธนาคาร ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คนั้น ผู้มีชื่อที่รับเช็คไว้นั้นจึงเป็นผู้เสียหายตามกฎหมายและมีอำนาจร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2509 เวลากลางวันจำเลยได้ออกเช็คสหธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขายมราชหมายเลข เอ. 15-007749 สั่งจ่ายเงินสด 11,000 บาท มอบให้นายศิริจันทร์ กลัดณรงค์ ผู้ถือเป็นการชำระหนี้ โดยให้รับเงินได้ตั้งแต่วันที่ 9 เดือนนั้น ต่อมาในวันที่ 11 เดือนเดียวกัน เวลากลางวัน นายศิริจันทร์ กลัดณรงค์ ได้นำเช็คดังกล่าวไปเรียกเก็บเงินจากสหธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขายมราช ในวันเวลาเดียวกันนั้นธนาคารปฏิเสธไม่จ่ายเงินตามเช็คกับคืนเช็คมาอ้างว่า โปรดติดต่อกับผู้สั่งจ่าย เพราะเงินในบัญชีไม่พอจ่าย โดยตามวันเวลาดังกล่าวจำเลยได้บังอาจออกเช็คโดยเจตนาจะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้นออกเช็คไปในขณะที่ออกไม่มีเงินอยู่ในบัญชีอันจะพึงให้ใช้เงินได้และออกเช็คให้ใช้เงินมีจำนวนสูงกว่าเงินที่มีอยู่ในบัญชีอันจะให้ใช้เงินได้ในขณะที่ออกเช็คนั้น เหตุเกิดเกี่ยวพันกันที่ตำบลหิรัญรูจีอำเภอและจังหวัดธนบุรี และที่ตำบลทุ่งพญาไท อำเภอพญาไท จังหวัดพระนคร นายศิริจันทร์ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2509 จำเลยเคยต้องคำพิพากษาของศาลตามทะเบียนประวัติอาชญากรท้ายฟ้อง อันอยู่ในลักษณะที่จะเพิ่มโทษได้ตามกฎหมายขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ.2497 มาตรา 3 และเพิ่มโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92
จำเลยให้การปฏิเสธว่า มิได้กระทำผิดตามฟ้อง ส่วนข้อที่เคยต้องโทษและพ้นโทษรับว่าเป็นความจริง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว ฟังว่าจำเลยยืมเงินนายศิริจันทร์ ได้ออกเช็คดังฟ้อง จ.1 สั่งจ่ายเงินสดเป็นการชำระหนี้ โดยเจตนาจะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค โดยในขณะที่ออกเช็คจำเลยไม่มีเงินอยู่ในบัญชีอันจะพึงให้ใช้เงินได้ และเช็คนั้นมีจำนวนเงินสูงกว่าจำนวนเงินที่มีอยู่ในบัญชีอันจะพึงให้ใช้เงินได้ในขณะออกเช็คนั้นพิพากษาว่า มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 ให้จำคุกจำเลย 3 เดือน เพิ่มโทษ 1 ใน 3 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 คงจำคุก 4 เดือน แต่มีเหตุบรรเทาโทษโดยคำให้การชั้นสอบสวนมีประโยชน์ต่อการพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษลง 1 ใน 3 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงเหลือโทษจำคุก 2 เดือน 20 วัน
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาเฉพาะข้อ 4 ก.ข. อันเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้ว
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาคดีแล้ว เกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมายในฎีกาจำเลยข้อ 4 ก. นั้นมีว่า เช็คพิพาทเป็นเช็คขีดคร่อมที่ผู้ทรงต้องนำเช็คไปเข้าธนาคารที่ตนมีบัญชีฝากเงินอยู่เพื่อให้เรียกเก็บเงินจากสหธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขายมราช ปรากฏว่าเช็คพิพาทไม่ได้ผ่านเข้าบัญชีธนาคารใดมาเลย แม้จำเลยมีเงินพอ ธนาคารก็ไม่จ่ายเงินให้ เพราะเป็นเช็คขีดคร่อม ผู้เสียหายนำเช็คไปขึ้นเงินเสียเอง เพราะปฏิบัติผิดระเบียบของธนาคารยังรับฟังไม่ได้ตามกฎหมายว่า ผู้เสียหายนำเช็คพิพาทไปเบิกเงินจากธนาคาร จะไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนหาได้ไม่
เกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมายในฎีกาจำเลยข้อ 4 ข. นั้นมีว่านายศิริจันทร์หรือนางจีระวรรณเป็นผู้เสียหายตามกฎหมาย จำเลยอ้างว่านายศิริจันทร์มิใช่ผู้ทรงเช็ค และมิใช่เป็นผู้เสียหาย จึงไม่มีอำนาจร้องทุกข์
ปัญหาข้อกฎหมายในประเด็นแรกนั้น ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงจริงในส่วนนี้ว่า จำเลยเป็นผู้ออกเช็คพิพาทของสหธนาคารกรุงเทพ จำกัดสาขายมราช สั่งจ่ายเงิน 11,000 บาท หมาย จ.1 ให้นายศิริจันทร์เช็คดังกล่าวลงวันที่ 9 กรกฎาคม 2509 โดยจำเลยออกเช็คให้แก่ผู้ถือในวันที่ 6 เดือนนั้น และระหว่างวันที่ 6 กรกฎาคม 2509 ถึงวันที่ 11 เดือนเดียวกัน จำเลยมีเงินฝากในบัญชีเงินฝากเพียง 300 บาท เช็คพิพาทเป็นเช็คขีดคร่อมทั่วไป โดยจำเลยขีดเส้นคู่เล็ก ๆ ที่มุมเช็คด้านซ้าย ถ้าไม่สังเกตก็ไม่เห็น นายศิริจันทร์เพิ่งเคยได้รับเช็คของจำเลยเป็นรายแรก จะขีดคร่อม (เช็คพิพาท) อย่างไรหรือไม่ ๆ เคยทราบ ถ้านายศิริจันทร์ทราบเรื่องเช็คขีดคร่อมก็คงจะไม่นำเช็คพิพาทไปขอรับเงินที่ธนาคารให้เสียเวลา ในเมื่อตนเองไม่มีเงินฝากธนาคาร นายศิริจันทร์นำเช็คพิพาทไปเบิกเงินจากสหธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขายมราช เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2509ธนาคารนั้นไม่จ่ายเงินให้ บอกว่าเงินไม่มี ให้ติดต่อกับผู้สั่งจ่าย (จำเลย) คืนเช็คพิพาทกับแนบใบคืนเช็คให้แก่นายศิริจันทร์ จำเลยออกเช็คพิพาทให้นายศิริจันทร์ เพื่อใช้หนี้เงินยืม ตามข้อเท็จจริงที่กล่าวมาแสดงอย่างชัดแจ้งว่า จำเลยออกเช็คพิพาทให้ใช้เงินมีจำนวนสูงกว่าจำนวนเงินที่จำเลยมีอยู่ในบัญชี อันจะพึงให้ใช้เงินได้ในขณะที่ออกเช็คนั้นซึ่งเป็นความผิดดังที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยส่วนเรื่องเช็คขีดคร่อม ที่ผู้ทรงจะต้องนำเข้าบัญชีที่ตนมีบัญชีฝากเงินในธนาคาร เพื่อเรียกเก็บเงินนั้น เป็นทางปฏิบัติของธนาคารอันเป็นรายละเอียด คดีนี้ปรากฏว่า ธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงินเช็คพิพาท เพราะจำเลยมีเงินฝากในบัญชีน้อยกว่าจำนวนเงินที่จำเลยสั่งจ่ายในเช็คพิพาท อันถือว่าเป็นความผิดเกิดขึ้นแล้ว ฎีกาจำเลยในปัญหาข้อกฎหมายข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาข้อกฎหมายในประเด็นสุดท้ายนั้น ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงในส่วนนี้ว่า จำเลยออกเช็คพิพาทให้นายศิริจันทร์เพื่อใช้หนี้เงินยืม (มิใช่ออกเช็คพิพาทให้นางจีระวรรณ (ภริยานายศิริจันทร์ เพื่อคืนเงินค่าเข้าหุ้นส่วนซื้อที่ดิน) ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงแสดงโดยตรงว่า นายศิริจันทร์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาทตามกฎหมาย การที่นายศิริจันทร์นำเช็คพิพาทไปรับเงินจากธนาคารธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คนั้น นายศิริจันทร์ก็เป็นผู้เสียหายตามกฎหมาย และมีอำนาจร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน ฎีกาในปัญหากฎหมายข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้ว
พิพากษายืน ให้ยกฎีกาจำเลย