แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ไม้ของกลาง 19 แผ่นวางเรียงทำเป็นพื้นบ้าน มีห้องนอน ห้องครัว และห้องเก็บของ ส่วนไม้ที่เหลืออีก 7 แผ่น ใช้ทำเป็นฝากโรงเก็บข้าวโพด การที่ไม้ดังกล่าวยังไม่ได้ไสกบให้เรียบหรือการที่จำเลยเพิ่งตอกตะปูไม้พื้นภายหลังถูกจับแล้ว ก็อาจเป็นเพราะบ้านปลูกอยู่ในชนบทและจำเลยยากจน บ้านหลังนี้มีทะเบียนบ้าน จำเลยปลูกและอาศัยอยู่กับบุตรภรรยาเป็นเวลานานถึงประมาณ 6 ปีแล้ว ไม่มีพฤติการณ์ที่น่าสงสัยว่า ไม้ของกลางจะอยู่ในสภาพพรางว่าเป็นสิ่งปลูกสร้าง เมื่อไม้ของกลางอยู่ในสภาพเป็นสิ่งปลูกสร้างก็ไม่ใช่ไม้แปรรูปตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 4 (4) ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 116 ลงวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2515 ข้อ 1 การมีไม้ของกลางดังกล่าวไว้ในความครอบครองจึงไม่เป็นความผิด
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีไม้มะค่าโมง ซึ่งเป็นไม้หวงห้ามแปรรูปจำนวน ๒๖ แผ่น ปริมาตรเนื้อไม้ ๒.๔๓ ลูกบาศก์เมตร ไว้ในความครอบครองภายในเขตควบคุมการแปรรูปไม้ โดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ มาตรา ๔๘, ๗๒, ๗๔ ฯลฯ และขอให้ริบไม้ของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ มาตรา ๔๘, ๗๓, ๗๔ ฯลฯ ปรับจำเลย ๓,๐๐๐ บาท ไม่ชำระค่าปรับให้กักขังแทน ของกลางริบ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ ของกลางคืนจำเลย
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๒๑ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมจำเลยในข้อหามีไม้มะค่าโมงแปรรูปจำนวน ๒๖ แผ่นไว้ในความครอบครองโดยไม่รับอนุญาต และได้มอบไม้ของกลางให้ภรรยาจำเลยเป็นผู้ดูแล วันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๒๑ เจ้าหน้าที่ตำรวจนำเจ้าพนักงานป่าไม้ไปตีตรายึดไม้ดังกล่าวปรากฏว่าเป็นไม้ที่ดอกตะปูทำเป็นพื้นบ้านแล้ว ๑๙ แผ่น อีก ๗ แผ่นวางซ้อนอยู่บนพื้นบ้าน เจ้าพนักงานป่าไม้จึงตีตรายึดเฉพาะไม้ ๗ แผ่น ส่วนไม้อีก ๑๙ แผ่นแยกทำบัญชีไว้ต่างหาก ชั้นสอบสวนจำเลยให้การว่า จำเลยซื้อไม้ดังกล่าวจากผู้ที่โค่นไม้และเลื่อยไม้ในป่าเพื่อใช้ทำพื้นบ้าน คงมีข้อเท็จจริงที่คู่ความนำสืบโต้แย้งกันคือโจทก์นำสืบว่า เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจไปจับกุมนั้น ไม้จำนวน ๑๙ แผ่นวางไว้เฉยๆ ยังไม่มีการตอกตะปู จำเลยเพิ่งตอกตะปูภายหลังที่ถูกจับกุมแล้ว ส่วนจำเลยนำสืบว่า ไม้จำนวน ๑๙ แผ่น จำเลยใช้ทำเป็นพื้นบ้าน แต่เพิ่งตอกตะปูก่อนถูกจับกุมประมาณ ๒-๓ เดือน ส่วนไม้อีก ๗ แผ่น จำเลยใช้ทำฝาโรงเก็บข้าวโพด แต่ขณะที่ถูกจับกุมไม่ได้มีการเก็บข้าวโพด จำเลยจึงนำไม้ทั้ง ๗ แผ่นไปวางไว้ในห้องนอน
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว ได้ความตามคำเบิกความของพลตำรวจวิเชียรพยานโจทก์ผู้จับกุมจำเลยว่า ขณะเข้าจับกุมพบไม้จำนวน ๑๙ แผ่นวางเรียงทำเป็นพื้นบ้าน มีห้องนอน ห้องครัว และห้องเก็บของ ส่วนไม้ที่เหลืออีก ๗ แผ่น จำเลยก็นำสืบว่า จำเลยใช้ทำเป็นฝาโรงเก็บข้างโพด การที่ไม้ดังกล่าวยังไม่ได้ไสกบให้เรียบ หรือการที่จำเลยเพิ่งตอกตะปูไม้พื้นภายหลังที่ถูกจับแล้ว ก็อาจจะเป็นพราะเป็นปลูกอยู่ในชนบทและจำเลยเป็นคนยากจน บ้านหลังนี้มีทะเบียนบ้านจำเลยปลูกและอาศัยอยู่กับบุตรภรรยาตั้งแต่อพยพมาอยู่ในท้องที่นี้เป็นเวลานานถึงประมาณ ๖ ปีแล้ว ไม่มีพฤติการณ์ที่น่าสงสัยว่า ไม้ของกลางจะอยู่ในสภาพพรางว่าเป็นสิ่งปลูกสร้าง เมื่อไม้ของกลางอยู่ในสภาพเป็นสิ่งปลูกสร้างก็ไม่ใช่ไม้แปรรูปตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ มาตรา ๔ (๔) ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑๖ ลงวันที่ ๑๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๑๕ ข้อ ๑ การมีไม้ของกลางดังกล่าวไว้ในความครอบครองจึงไม่เป็นความผิด
พิพากษายืน