แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้จัดการมรดกโอนขายทรัพย์มรดกให้แก่ผู้อื่นโดยไม่สุจริตหรือสมยอมกันดังนี้ ทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกอยู่ในฐานะเป็นเจ้าหนี้และเป็นฝ่ายต้องเสียเปรียบ ขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้ง ๔ เป็นทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของผู้ตาย จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกได้สมคบกับจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ทำการฉ้อฉลโจทก์ โอนขายที่ดินมรดกให้กับจำเลยที่ ๒ และ ที่ ๓ ในราคาที่ต่ำกว่า ความเป็นจริง และโดยไม่สุจริต ทำให้โจทก์ทั้ง ๔ ได้รับความเสียหาย ขอให้เพิกถอนนิติกรรมขายที่ดินดังกล่าว
จำเลยทั้งสามให้การว่า จำเลยที่ ๑ โอนขายที่ดินมรดกให้จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ โดยสุจริต ในขอบเขตอำนาจของผู้จัดการมรดก จำเลยไม่ได้สมคบกันฉ้อฉลโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรม ซื้อขายที่ดินมรดกระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ และที่ ๓
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสามฎีกาว่า คัดนี้เป็นเรื่องผู้จัดการมรดกจะนำ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๓๗ มาปรับใช้ไม่ได้ ต้องนำมาตรา ๑๗๒๔ มาใช้บังคับ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ ๑ ในฐานผู้จัดการมรดกได้สมคบกับจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ทำการฉ้อฉลโจทก์ โอนขายที่ดินอันเป็นทรัพย์มรดกที่ตกได้แก่โจทก์ให้จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ไปในราคาที่ต่ำกว่า ราคาที่เป็นจริง อันเป็นการกระทำโดยไม่สุจริตหรือสมยอมกัน ทำให้โจทก์ซึ่งเป็นทายาทผู้รับมรดกได้รับความเสียหาย ขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินดังกล่าวเสีย เป็นการฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมอันจำเลยที่ ๑ ในฐานะผู้จัดการมรดกได้กระทำลงทั้ง รู้อยู่ว่า จะเป็นทางให้โจทก์ซึ่งเป็นทายาทผู้รับมรดกเสียเปรียบ เข้าลักษณะเป็นการฟ้องถอนนิติกรรมอันเกิดจากการฉ้อฉล ตามมาตรา ๒๓๗ แห่ง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เมื่อคดีฟังได้ว่า การซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ ๑ ในฐานะผู้จัดการมรดกกับจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ เป็นไปโดยไม่สุจริต เป็นการฉ้อฉลทำให้โจทก์ซึ่งเป็นทายาทของกองมรดกได้รับความเสียหาย กรณีย่อมนำมาตรา ๒๓๗ แห่ง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาปรับบทใช้บังคับได้ ข้อที่จำเลยฎีกาว่า กรณีจะนำมาตรา ๒๓๗ แห่ง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาปรับใช้ไม่ได้ เพราะทายาทไม่ใช่เจ้าหนี้นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ที่ดินที่พิพาทเป็นทรัพย์มรดกตกทอดแก่โจทก์ที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ โดยสิทธิตามกฎหมาย โจทก์ที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ จึงมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกแบ่งปันทรัพย์มรดกที่ดินที่พิพาทให้แก่ตนได้ และจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกมีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องแบ่งปันทรัพย์มรดกให้แก่ทายาทตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๗๑๙ มาตรา ๑๗๒๐ และ มาตรา ๑๗๓๖ กรณีจึงถือได้ว่าโจทก์ที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ อยู่ในฐานะเป็นเจ้าหนี้และเป็นฝ่ายต้องเสียเปรียบจากการที่จำเลยที่ ๑ ผู้เป็นลูกหนี้ทำการโอนทรัพย์มรดกให้จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ไป ส่วนข้อที่จำเลยฎีกาว่า กรณีต้องนำมาตรา ๑๗๒๔ วรรคสองมาใช้บังคับนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า คดีไม่มีประเด็นข้อพิพาทตามมาตรา ๑๗๒๔ วรรคสองดังจำเลยฎีกา จึงนำบทบัญญัติแห่งมาตรานี้มาใช้บังคับแก่กรณีไม่ได้ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้นทุกข้อ
พิพากษายืน