คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1479/2523

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่นายตำรวจขู่ให้โจทก์ออกเช็คเพื่อชำระหนี้ให้จำเลย มิฉะนั้นจะจับโจทก์ไปขังในฐานะเป็นบุคคลซึ่งเป็นภัยต่อสังคมนั้น ไม่ถือว่า เป็นการใช้สิทธิตามกฎหมายหรือตามปกตินิยม
แม้บุคคลภายนอกจะเป็นผู้ข่มขู่ ก็ย่อมทำให้เช็คนั้นเสื่อมเสียตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 128 และเมื่อได้บอกล้างแล้วจึงตกเป็นโมฆะตามมาตรา 138

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองตามโจทก์ไปพบจำเลย แล้วจำเลยกับพวกซึ่งเป็นรองผู้กำกับการตำรวจภูธร จังหวัดกาญจนบุรี ได้ข่มขู่ให้โจทก์ออกเช็คชำระหนี้ให้จำเลยโดยข่มขู่ว่าหากโจทก์ไม่ตกลงจะจับตัวไปขัง โจทก์กลัวจึงยอมเซ็นสั่งจ่ายเช็คให้จำเลยไปต่อมาโจทก์ได้แจ้งอายัดเช็คนั้นไว้ต่อธนาคาร และได้มีหนังสือบอกล้างเช็คไปยังจำเลยและขอให้จำเลยคืนเช็คให้โจทก์ จำเลยไม่ยอมคืน ขอให้จำเลยคืนเช็คให้โจทก์ หากจำเลยไม่สามารถคืนได้ก็ขอให้ศาลมีคำสั่งว่าเช็คพิพาทไม่มีมูลหนี้ที่จะเรียกร้องจากโจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์นำรถยนต์ของผู้อื่นไปขายให้จำเลย ต่อมาเจ้าของรถยนต์ได้มายึดรถยนต์คืนไป จำเลยได้ร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานตำรวจให้ดำเนินคดีกับโจทก์ฐานฉ้อโกง โจทก์ทั้งสองจึงตกลงให้ใช้ราคาคืนให้จำเลยโดยออกเช็คให้จำเลยไว้ จำเลยกับพวกไม่ได้ขมขู่โจทก์
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ออกเช็คให้จำเลยโดยมีมูลหนี้มาจากการซื้อขายรถยนต์ แม้จะฟังว่าฝ่ายจำเลย ได้พูดข่มขู่โจทก์ให้ยอมรับใช้หนี้ดังกล่าว ถ้าไม่ยอมรับใช้จะถูกขังในข้อหาเป็นภัยต่อสังคม ก็เท่ากับเป็นการขู่ว่าจะใช้สิทธิดำเนินการตามกฎหมาย ไม่ทำให้นิติกรรมการออกเช็คตกเป็นโมฆียะ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่พันตำรวจสุภาขู่ว่า จะขังโจทก์ในฐานะเป็นบุคคลซึ่งเป็นภัยต่อสังคมนี้ ถือว่าเป็นการใช้สิทธิตามปกตินิยมตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๒๗ หรือไม่ ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า กรณีพิพาทที่เกิดขึ้นระหว่างโจทก์จำเลยเกี่ยวกับการซื้อขายรถยนต์รายนี้ หากจำเลยเห็นว่าโจทก์ฉ้อโกงโดยใช้อุบายหลอกลวงขายรถให้จำเลยประการใด จำเลยก็ย่อมมีสิทธิแจ้งความร้องทุกข์ต่อตำรวจให้ดำเนินคดีกับโจทก์ฐานฉ้อโกงได้ ซึ่งเป็นสิทธิของจำเลยที่จะหาได้โดยชอบ อันถือได้ว่า เป็นการใช้สิทธิตามปกตินิยม แต่จำเลยหาได้ใช้สิทธิตามปกตินิยมเช่นนั้นไม่ ปรากฏจากคำเบิกความของพันตำรวจโทสุภาพยานฝ่ายจำเลยเองว่า ไม่ได้มีการลงบันทึกประจำวันการแจ้งความของจำเลยในเรื่องนี้ไว้แต่อย่างใดแต่จำเลยกลับใช้วิธีเรียกตัวโจทก์มาพบที่อู่รถเบญจมิตร แล้วให้พันตำรวจโทสุภาซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของจำเลยขนาดใช้สอยไหว้วานกันได้มาเป็นผู้ใช้อำนาจในตำแหน่งรองผู้กำกับการตำรวจข่มขู่โจทก์ว่า จะจับไปขังในฐานเป็นบุคคลซึ่งเป็นภัยต่อสังคม หากโจทก์ไม่ยอมเซ็นเช็ค ๓๐๐,๐๐๐ บาท ให้จำเลย ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินฉบับที่ ๒๒ ลงวันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๑๙ ได้ให้อำนาจแก่พนักงานฝ่ายปกครองและตำรวจที่จะจับกุมบุคคลใดซึ่งมีพฤติการณ์ที่เป็นภัยต่อสังคมส่งพนักงานสอบสวนควบคุมตัวไว้เพื่อทำการอบรมเป็นเวลา ๓๐ วัน ได้ หลังจากนั้นผู้ว่าราชการจังหวัดก็ยังมีอำนาจควบคุมไว้ต่อไปโดยไม่มีกำหนดยังสถานอบรมและฝึกอาชีพได้อีกจนกว่าคณะกรรมการของกระทรวงมหาดไทยจะเห็นควรปล่อยไป แต่บุคคลซึ่งจะถูกจับมาควบคุมในฐานะเป็นบุคคลซึ่งเป็นภัยต่อสังคมเช่นนั้น จะต้องมีพฤติการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ระบุไว้ เช่นประพฤติตนกระทำการรังแกข่มขวัญ ข่มเหง ขู่ขวัญ หรือกระทำการด้วยประการใด ๆ โดยมิชอบให้บุคคลอื่นเกรงกลัว ฯลฯ เป็นต้น ซึ่งกรณีเรื่องซื้อขายรถยนต์เช่นที่โจทก์จำเลยพิพาทกันอยู่ในคดีนี้มีเพียงว่า จำเลยหาว่า โจทก์นำรถมาขายให้แล้วรถถูกเจ้าของมายึดคืนไป จำเลยต้องการให้โจทก์รับผิดชดใช้เงินคืนให้จำเลย เป็นเงิน๓๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนโจทก์ก็เถียงว่าตนไม่ใช่ผู้ชาย ตนเป็นเพียงนายหน้าจึงไม่ต้องรับผิด จำเลยชอบที่จะไปเรียกร้องเอาเงินคืนจากนายบุญเกิดผู้ขายโดยตรง เหตุเพียงแค่นี้ ยังหาถือได้ว่า โจทก์มีพฤติการณ์ที่เป็นภัยต่อสังคมแต่อย่างใดไม่ ซึ่งพันตำรวจโทสุภาเองก็รู้อยู่แก่ใจว่ากรณีไม่ใช่เรื่องร้ายแรงถึงขนาดนั้น เพราะถ้าหากเป็นเรื่องร้ายแรงถึงขนาดเป็นภัยต่อสังคมจริงแล้ว ไฉนพันตำรวจโทสุภาจะระงับเรื่องไม่ดำเนินการต่อไปได้ในเมื่อโจทก์ยอมเซ็นเช็คให้จำเลย การที่พันตำรวจโทสุภาหยิบยกข้อหาฐานเป็นบุคคลซึ่งเป็นภัยต่อสังคมมาใช้กับโจทก์ในกรณีนี้ จึงไม่ได้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ ในคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ ๒๒ ดังกล่าวแต่เป็นการใช้อำนาจในตำแหน่งรองผู้กำกับการตรวจข่มขู่โจทก์ให้ยอมออกเช็คให้จำเลยเพื่อจะช่วยเหลือจำเลย ซึ่งเป็นพรรคพวกกันเท่านั้น จะถือว่า เป็นการใช้สิทธิตามกฎหมายหาได้ไม่ เพราะคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินไม่ได้ออกกฎหมายนั้นมาเพื่อให้ตำรวจใช้เป็นเครื่องมือในการต่อรองหรือข่มขู่บังคับให้ผู้ใดยอมเซ็นเช็คให้ และจะถือว่าเป็นการใช้สิทธิตามปกตินิยมก็ไม่ได้ เพราะย่อมไม่มีประชาชนคนใดที่จะนิยมการกระทำวิธีนี้ ของตำรวจ ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
เมื่อเช็คที่โจทก์เช็นให้จำเลยไปนั้น แม้จะเกิดจากการข่มขู่ของพันตำรวจโทสุภาซึ่งแม้จะเป็นบุคคลภายนอก ก็ย่อมทำให้เช็คนั้นเสื่อมเสียไปตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๒๘ และโจทก์ได้มีหนังสือแจ้งยกเลิกหรือบอกล้างเช็คอันเกิดจากการข่มขู่แล้ว เช็คจึงตกเป็นโมฆะตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๙
พิพากษากลับให้จำเลยคืนเช็คให้โจทก์

Share