แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ไปยึดทรัพย์ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ฯ จำเลยที่ 1 ในคดีเดิม แล้วมอบให้จำเลยที่ 1 ในคดีนี้ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ในคดีเดิมเป็นผู้รักษาทรัพย์ เมื่อศาลมีคำสั่งให้ขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึด ปรากฏว่าทรัพย์บางรายมีสภาพชำรุด ทำให้เสื่อมราคา ดังนี้ หากจำเลยที่ 1 กระทำการใด ๆ แก่ทรัพย์ที่ยึดใช้เสียหาย ผู้ที่เสียหายย่อมได้แก่เจ้าพนักงานบังคับคดีและโจทก์ในคดีเดิม โจทก์ซึ่งเป็นจำเลยที่ 2 ในคดีเดิมในฐานะผู้ค้ำประกันและเป็นผู้นำยึดทรัพย์จะต้องรับผิดใช้หนี้มากน้อยเพียงใด ย่อมมีสิทธิไล่เบี้ยเอากับจำเลยที่ 1 ในคดีเดิมได้ตามกฎหมาย ถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายโดยตรงจากการกระทำของจำเลยที่ 1 โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ผู้รักษาทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 187
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องว่า คดีนี้สืบเนื่องมาจากธนาคารกรุงเทพพาณิชยการ จำกัด  ได้เป็นโจทก์ฟ้องห้างหุ้นส่วนจำกัดหนองคายเซอร์วิสเป็นจำเลยที่ ๑   และโจทก์ในคดีนี้เป็นจำเลยที่ ๒  ต่อมามีการบังคับคดีโจทก์ยื่นคำร้องขอให้ยึดทรัพย์จำเลยที่ ๑  เพื่อขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์ในคดีเดิม  โดยโจทก์เป็นผู้นำเจ้าพนักงานบังคับคดีทำการยึดทรัพย์  และให้จำเลยที่  ๑  ที่ ๒  ในคดีนี้เป็นผู้ดูแลรักษาทรัพย์ที่ยึด  ต่อมาจำเลยร่วมกันทำลายตู้เย็นและเครื่องรับโทรทัศน์ซึ่งเป็นทรัพย์ที่ถูกยึด  ทำให้เสื่อมราคาและไร่ประโยชน์  ทั้งนี้เพื่อไม่ให้การเป็นไปตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาล  การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันและเป็นผู้นำยึดทรัพย์ได้รับความเสียหาย  โดยขายทอดตลาดตู้เย็นได้ในราคาต่ำกว่าราคาที่แท้จริง  ส่วนเครื่องรับโทรทัศน์ขายไม่ได้  เป็นเหตุให้โจทก์ต้องรับชำระหนี้ให้แก่โจทก์ในคดีเดิมเพิ่มขึ้น  ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา ๑๘๓,  ๘๓
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว  เห็นว่าคดีมีมูล  ให้ประทับฟ้องไว้พิจารณา
จำเลยให้การและแก้คำให้การปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำผิด  และความผิดตามมาตรา ๑๘๗  เป็นเรื่องที่เจ้าพนักงานยึดทรัพย์จะฟ้องร้องเอากับผู้รักษาทรัพย์  โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า  จำเลยที่ ๑  มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา ๑๘๗  ให้จำคุก ๒ เดือน ปรับ ๒,๐๐๐ บาท  ให้รอการลงโทษจำคุกไว้มีกำหนด ๑ ปี   ส่วนจำเลยที่ ๒ ให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยที่ ๑  โดยไม่รอการลงโทษ
จำเลยที่ ๑  อุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหาย   พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องจำเลยที่ ๑  นอกจากที่แก้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาว่าโจทก์เป็นผู้เสียมีอำนาจฟ้อง
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า  เดิมธนาคารกรุงเทพพาณิชยการ  จำกัด  สาขาหนองคาย  เป็นโจทก์ฟ้องห้างหุ้นส่วนจำกัดหนองคายเซอร์วิส  โดยจำเลยที่ ๑ ในคดีนี้เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการเป็นจำเลยที่ ๑  และโจทก์ในคดีนี้ในฐานะผู้ค้ำประกันเป็นจำเลยที่ ๒  ให้พ้นผิดชำระเงินกู้ตามสัญญากู้เงินเบิกเกินบัญชี  แล้วโจทก์กับจำเลยทั้งสองทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า  จำเลยที่ ๑  ยอมชำระเงินให้แก่ธนาคาร  โจทก์ในคดีนี้ยอมเป็นผู้ค้ำประกันการชำระหนี้ของจำเลยที่ ๑  ต่อธนาคาร   ต่อมาจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระเงินตามสัญญา  โจทก์ในคดีเดิมขอบังคับคดียึดทรัพย์จำเลยที่ ๒   โจทก์ในคดีนี้จึงขอให้ยึดทรัพย์ของจำเลยที่ ๑ ก่อน  ศาลอนุญาต และเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ไปยึดทรัพย์จำเลยที่ ๑ แล้ว  และให้จำเลยที่ ๑ ในคดีนี้เป็นผู้รักษาทรัพย์   เมื่อศาลมีคำสั่งให้ขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดปรากฏว่าตู้เย็นและเครื่องรับโทรทัศน์มีสภาพชำรุดหลายประการ  ทำให้เสื่อมราคา
ปัญหามีว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องหรือไม่   ศาลฎีกาเห็นว่า  เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดทรัพย์ของจำเลยที่ ๑ ในคดีก่อนไว้แล้ว  และได้มอบให้จำเลยที่ ๑  ในคดีนี้เป็นผู้รักษาทรัพย์ที่ยึด  หากจำเลยที่ ๑ กระทำการใด ๆ แก่ทรัพย์ที่ยึดให้เสียหายตามฟ้อง  ผู้ที่เสียหายย่อมได้แก่เจ้าพนักงานบังคับคดีและธนาคาร ฯ   โจทก์เจ้าหนี้ในคดีเดิม   หากโจทก์จะต้องรับผิดใช้หนี้มากน้อยเพียงใด  โจทก์ในฐานะผู้ค้ำประกันก็ย่อมมีสิทธิไล่เบี้ยเอากับห้างหุ้นส่วนจำกัดหนองคายเซอร์วิสได้ตามกฎหมาย  กรณีดังกล่าวฟังได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายโดยตรงจากการกระทำของจำเลยผู้รักษาทรัพย์   โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา ๒ (๔)  จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ ๑ ผู้รักษาทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๘๗
พิพากษายืน

