แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เดิมโจทก์ขอให้บังคับคดีนำยึดและขายทอดตลาดที่ดินซึ่งจำเลยทั้งสองจำนองกับโจทก์เพราะจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาตามยอม ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องว่าเงินขายทอดตลาดไม่พอชำระหนี้ตามคำพิพากษา จึงขอให้ยึดที่ดินโฉนดที่ 9096 และ 9097 ซึ่งจำเลยที่ 1 จำนองไว้กับโจทก์เช่นกันมาขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้ให้ครบถ้วน ปรากฏว่าตามสัญญาจำนองที่ดินทั้งสองโฉนดนั้นจำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์รวมดอกเบี้ยด้วยเป็นเงิน 609,924.58 บาทศาลชั้นต้นอนุญาต และเจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดที่ดินทั้งสองโฉนดดังกล่าวได้เงิน 1,290,000 บาท เมื่อหักหนี้บุริมสิทธิให้โจทก์ก่อนแล้ว ยังมีเงินเหลือที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอื่นจะร้องขอเข้าเฉลี่ยในเงินที่เหลือนี้ได้ ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้จำเลยที่ 1 ตามคำพิพากษาได้ยื่นคำร้องขอเฉลี่ยหนี้ส่วนที่เกินบุริมสิทธิของโจทก์คือขอเฉลี่ยเงินที่เหลือจากการชำระหนี้แก่โจทก์ โดยขอรับเฉลี่ยในฐานะเจ้าหนี้สามัญซึ่งศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาถึงที่สุดให้ผู้ร้องได้เข้าเฉลี่ยหนี้อย่างเจ้าหนี้สามัญ ดังนี้ ผู้ร้องจะมาอ้างขึ้นใหม่ว่าจะขอรับชำระหนี้ในฐานะเจ้าหนี้บุริมสิทธิ หรือเจ้าหนี้จำนองอันดับ 2 ก่อนเจ้าหนี้สามัญในภายหลังอีกหาได้ไม่ ต้องฟังว่าผู้ร้องไม่มีสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ในฐานะบุริมสิทธิ จะเฉลี่ยหนี้โดยหักหนี้บุริมสิทธิของโจทก์เงินที่เหลือเอาชำระหนี้บุริมสิทธิของผู้ร้อง และเมื่อมีเงินเหลือจากการชำระหนี้บุริมสิทธิของผู้ร้องแล้ว จึงนำไปเฉลี่ยเป็นหนี้สามัญระหว่างโจทก์กับผู้ร้องหาได้ไม่
ย่อยาว
คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองให้ร่วมกันชำระหนี้ไถ่จำนองแก่โจทก์ หากไม่ปฏิบัติตามขอให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาด ถ้าได้เงินไม่พอชำระหนี้ก็ขอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดเอาชำระหนี้จนครบถ้วนต่อมาคู่ความทั้งสองฝ่ายทำสัญญาประนีประนอมยอมความในศาลและศาลได้มีคำพิพากษาตามยอม แต่จำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอม โจทก์ขอให้บังคับคดีโดยนำยึดที่ดิน ซึ่งจำเลยทั้งสองจำนองกับโจทก์ไว้ วันที่ 18 เมษายน 2518 เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดที่ดินโฉนดที่ 7328, 4296 และ 4297 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องว่าเงินขายทอดตลาดไม่พอชำระหนี้ ขอยึดทรัพย์จำเลยที่ 1 คือที่ดินโฉนดที่ 9096, 9097 และ 25022 ถึง 25029 รวม 10 แปลง ซึ่งอยู่ที่จังหวัดพิษณุโลกทำการขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ที่เหลือ ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีตามคำร้องของโจทก์ วันที่ 22 สิงหาคม 2518 โจทก์ยื่นคำร้องว่า เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2517 จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์เป็นจำนวนเงิน 500,000 บาท เมื่อรวมดอกเบี้ยและยอดที่เดินสะพัดแล้วคงเป็นยอดเงินรวม 609,924.58 บาท โดยนำที่ดินโฉนดที่ 9096, 9097 ที่ขอยึดเพิ่มเติมนั้นจำนองไว้กับโจทก์ แล้วจำเลยที่ 1 ได้ขอนำโฉนดที่ 9096,9097 ที่จำนองไว้ไปทำการแบ่งแยกออกเป็นแปลงย่อย ๆ รวม 35 แปลง คือ โฉนดที่ 9096, 25022 ถึง 25029 และโฉนดที่ 9097, 25854 ถึง 25862 และที่ 25864 ถึง 25879 ทุกแปลงคงติดจำนองตามเดิม จึงขอให้โจทก์ได้รับชำระหนี้จากเงินขายที่ดินที่โจทก์นำยึดครั้งหลังนี้ด้วย ศาลชั้นต้นอนุญาตตามขอเจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดที่ดินโฉนด 35 แปลงดังกล่าวและศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขายในราคาที่เจ้าพนักงานบังคับคดีเสนอคือจำนวน1,290,000 บาท
ครั้นวันที่ 29 ตุลาคม 2519 ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์ จำกัด ยื่นคำร้องว่าผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้จำเลยที่ 1 ตามคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 123/2519 ของศาลจังหวัดพิษณุโลก ขอรับเฉลี่ยหนี้ส่วนที่เกินบุริมสิทธิของโจทก์ ต่อมาวันที่ 22 พฤศจิกายน 2519 ศาลชั้นต้นพิจารณาคำร้องดังกล่าว ผู้ร้องแถลงว่าขอรับเฉลี่ยเงินที่เหลือจากการชำระหนี้แก่โจทก์โดยขอรับเฉลี่ยในฐานะเจ้าหนี้สามัญ ศาลชั้นต้นให้ยกคำร้องของผู้ร้องที่ขอเฉลี่ยเงิน ผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยโดยคำพิพากษาฉบับลงวันที่ 4ตุลาคม 2520 ว่าที่ดินโฉนดที่ 9096 และ 9097 บุริมสิทธิของโจทก์เหนือที่ดินโฉนดที่ 9096 และ 9097 คงมีเฉพาะหนี้จำนองตามสัญญาจำนองลงวันที่ 29มกราคม 2517 ซึ่งจำเลยที่ 1 จำนองไว้กับโจทก์เท่านั้น แต่ที่ดินโฉนดที่ 9096และ 9097 ซึ่งภายหลังแบ่งออกเป็น 35 แปลง ขายทอดตลาดได้เงิน 1,290,000บาท มากกว่าบุริมสิทธิของโจทก์เหนือที่ดินดังกล่าว เมื่อหักหนี้บุริมสิทธิให้โจทก์ก่อนแล้วยังมีเงินเหลือที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอื่นจะร้องขอเข้าเฉลี่ยในเงินที่เหลือนี้ได้ พิพากษากลับคำสั่งศาลชั้นต้นเป็นว่าให้ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การจำกัด ผู้ร้องและโจทก์ได้รับส่วนเฉลี่ยจากเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดที่ดิน35 แปลงของจำเลยที่ 1 ที่เหลือจากชำระหนี้จำนองตามสัญญาจำนองระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ลงวันที่ 29 มกราคม 2517 โดยให้เฉลี่ยตามส่วนหนี้ตามคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 123/2519 ของศาลจังหวัดพิษณุโลกกับหนี้ตามคำพิพากษาคดีนี้ที่ยังขาดอยู่หลังจากบังคับจำนองที่ดินโฉนดที่ 7328 ของจำเลยที่ 1 และที่ดินโฉนดที่ 4296, 4297 ของจำเลยที่ 2 แล้ว คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ดังกล่าวถึงที่สุดโดยผู้ร้องมิได้ฎีกา
วันที่ 8 มีนาคม 2522 ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีทำการเฉลี่ยหนี้ไม่ถูกต้อง เพราะผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้บุริมสิทธิที่ 2 เมื่อหักหนี้บุริมสิทธิของโจทก์แล้วยังมีเงินเหลือชำระหนี้บุริมสิทธิของผู้ร้องได้เพียงพอ และเมื่อมีเงินเหลือจากการชำระหนี้บุริมสิทธิของผู้ร้องแล้ว จึงควรนำไปเฉลี่ยเป็นหนี้สามัญระหว่างโจทก์กับผู้ร้องต่อไป ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในวันเดียวกันว่าให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้น
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โดยที่ผู้ร้องฎีกาประการแรกว่า ศาลอุทธรณ์จะนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 289 วรรคสองมาใช้ในกรณีของผู้ร้องหาได้ไม่ เพราะหนี้ของผู้ร้องเป็นหนี้ตามคำพิพากษาและมีบุริมสิทธิด้วย เห็นว่าผู้ร้องได้แถลงรับตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นลงวันที่ 22 พฤศจิกายน 2519 ว่าผู้ร้องขอเฉลี่ยหนี้จากโจทก์ที่เหลือในฐานะเจ้าหนี้สามัญ ประกอบกับผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้หลังจากเอาทรัพย์สินออกขายทอดตลาดแล้ว ผู้ร้องจะมาอ้างขึ้นใหม่ว่าจะขอรับชำระหนี้ในฐานะเจ้าหนี้บุริมสิทธิหรือเจ้าหนี้จำนองอันดับ 2 ก่อนเจ้าหนี้สามัญหาได้ไม่
ผู้ร้องฎีกาประการที่สองว่า ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ฉบับลงวันที่ 4ตุลาคม 2520 นั้น ผู้ร้องเข้าใจว่าผู้ร้องมีสิทธิที่จะได้รับส่วนเฉลี่ยก่อนเจ้าหนี้สามัญอื่น ๆ จึงมิได้ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ฉบับดังกล่าว ฉะนั้นเจ้าพนักงานบังคับคดีชอบที่จะทำบัญชีส่วนเฉลี่ยให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้บุริมสิทธิเห็นว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ฉบับดังกล่าวมิได้ระบุให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้อย่างเจ้าหนี้บุริมสิทธิแต่อย่างใด ในคำพิพากษาฉบับนั้นได้กล่าวถึงความตอนนี้ว่าที่ดิน 35 แปลงขายทอดตลาดได้เงินรวม 1,290,000 บาท มากกว่าบุริมสิทธิของโจทก์เหนือที่ดินดังกล่าว เมื่อหักหนี้บุริมสิทธิให้โจทก์ก่อนแล้วยังมีเงินเหลือที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอื่นจะร้องขอเข้าเฉลี่ยในเงินที่เหลือนี้ได้ ที่ศาลชั้นต้นยกคำร้องขอธนาคารกรุงเทพพาณิชย์การ จำกัด ผู้ร้องที่ขอเข้าเฉลี่ยเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดอย่างเจ้าหนี้สามัญ โดยอ้างว่าโจทก์ฟ้องบังคับจำนองเอากับหลักทรัพย์ที่จำนองไว้กับโจทก์เป็นบุริมสิทธิมีหลักประกันพิเศษ และขายทรัพย์สินของจำเลยไม่พอชำระหนี้จำนองให้แก่โจทก์นั้น ศาลอุทธรณ์ไม่เห็นพ้องด้วย จากคำวินิจฉัยดังกล่าวแสดงว่าศาลอุทธรณ์ถือว่าผู้ร้องได้ขอเข้าเฉลี่ยเงินอย่างเจ้าหนี้สามัญโดยชัดแจ้งและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ฉบับดังกล่าวถึงที่สุดแล้วจึงต้องฟังว่าผู้ร้องไม่มีสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ในฐานะบุริมสิทธิ
ผู้ร้องฎีกาประการสุดท้ายว่า ที่ผู้ร้องแถลงต่อศาลชั้นต้นขอรับชำระหนี้โดยการเฉลี่ยหนี้ ในฐานะเจ้าหนี้สามัญนั้น ต้องหมายความว่า ผู้ร้องมีสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ที่เหลือจากการชำระหนี้จำนองของโจทก์ก่อนเจ้าหนี้สามัญอื่น ๆในฐานะเจ้าหนี้จำนองอันดับ 2 ทั้งจำนวนเงินที่ขายทอดตลาดยังพอที่จะชำระหนี้ให้ผู้ร้องในฐานะเจ้าหนี้จำนองอันดับ 2 ได้ เห็นว่าเมื่อได้วินิจฉัยมาข้างต้นแล้วว่าผู้ร้องไม่อยู่ในฐานะเช่นนั้นได้ เพราะผู้ร้องได้แถลงรับต่อศาลชั้นต้นว่าขอเฉลี่ยหนี้ในฐานะเจ้าหนี้สามัญ ผู้ร้องจะมาแปลความหมายให้กลายเป็นอย่างอื่นในชั้นฎีกานี้ย่อมไม่ได้
พิพากษายืน