แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ชั้นแรกโจทก์ฟ้องว่าจำเลยบุกรุกที่ดินภายในเส้นสีแดงตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้อง เนื้อที่ประมาณ 70 ตารางวา ราคา 6,000 บาท ต่อมาโจทก์ข้อแก้ฟ้องว่า จำเลยบุกรุกที่ดินเพิ่มขึ้นรวมเป็นเนื้อที่ประมาณ 6 ไร่ ราคา 22,0000 บาท ศาลอนุญาตให้แก้ฟ้องได้แล้ว ในการทำแผนที่พิพาท คู่ความนำชี้ว่าที่พิพาทคือที่ดินภายในเส้นสีแดงตามแผนที่พิพาทซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ 6 ไร่ ในการสืบพยานของคู่ความและวินิจฉัยของศาลชั้นต้นก็กล่าวว่าที่พิพาทคือที่ดินที่ปรากฏภายในเส้นสีแดงในแผนที่กลาง แต่ศาลชั้นต้นกลับพิพากษาให้ที่พิพาทภายในเส้นสีแดงตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องเป็นของโจทก์ ดังนี้ เป็นการพิพากษาไม่ตรงประเด็นที่คู่ความพิพาทและศาลอุทธรณ์พิพากษายืน อันเป็นการไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่ง แต่ศาลฎีกาเห็นสมควรพิพากษาแก้ไขเสียให้ถูกต้องไปทีเดียวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาใหม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและเพิ่มเติมฟ้องว่า  โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินส่วนมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์แล้วหนึ่งแปลง   จำเลยบุกรุกเข้าไปในที่ดินแปลงนี้ทางมุมตะวันออกเฉียงใต้ตัดฟันต้นไม้และทำรั้วกั้นเป็นแนว  เนื้อที่ประมาณ ๖ ไร่  ราคา ๒๒,๐๐๐ บาท  เพื่อยึดถือที่ดินนี้เป็นของตน  ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินที่จำเลยบุกรุกเป็นของโจทก์  ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง  ให้จำเลยรื้อถอนรั้วที่กั้นไว้
จำเลยให้การว่า  ที่พิพาทเป็นของจำเลย  เขตแดนระหว่างที่ดินโจทก์จำเลยมีแนวตรงและมีเครื่องหมายแน่นอน  จำเลยไม่ได้บุกรุกทำลายต้นไม้ของโจทก์  รั้วกั้นเขตมีมานานแล้ว  จำเลยครอบครองที่พิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยอย่างเป็นเจ้าของมาเกินกว่า ๑ ปีแล้ว  คดีโจทก์จึงขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า  คดีไม่ขาดอายุความ  ที่พิพาทภายในเส้นสีแดงตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องเป็นของโจทก์  ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง  ให้จำเลยรื้อถอนหลักรั้วที่ทำไว้ออกไป  และให้จำเลยชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมเท่าที่โจทก์ชนะคดี (ทุนทรัพย์ ๖,๐๐๐ บาท)  โดยกำหนดค่าทนายความ ๓๐๐ บาทแทนโจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน  ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ ๑๕๐ บาท แทนโจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์   ที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยครอบครองที่พิพาทมาฝ่ายเดียวเกิน ๑ ปี   โจทก์จึงหมดสิทธิฟ้องร้องนั้น   ทางพิจารณาต่างนำสืบว่าได้ครอบครองที่พิพาทโต้แย้งกันอยู่  ฟังไม่ชัดว่าจำเลยแย่งการครอบครองจากโจทก์  คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ  แล้ววินิจฉัยว่า  คดีนี้ขั้นแรกโจทก์ฟ้องว่าจำเลยบุกรุกที่ดินภายในเส้นสีแดงตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้อง  เนื้อที่ประมาณ ๗๐ ตารางวา  ราคา ๖,๐๐๐ บาท  ต่อมาโจทก์ขอแก้ฟ้องว่าจำเลยบุกรุกที่ดินเพิ่มขึ้นรวมเป็นเนื้อที่ประมาณ ๖ ไร่  ราคา ๒๒,๐๐๐ บาท ศาลอนุญาตให้แก้ฟ้องได้แล้วในการพิจารณาศาลสั่งให้ทำแผนที่พิพาทคู่ความนำชี้ว่าที่พิพาทคือที่ดินภายในเส้นสีแดงตามแผนที่พิพาทซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ ๖ ไร่ ในการสืบพยานของคู่ความและวินิจฉัยของศาลชั้นต้นก็กล่าวว่าที่พิพาทคือที่ดินที่ปรากฏภายในเส้นสีแดงตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องเป็นของโจทก์  ดังนี้  เห็นว่าเป็นการพิพากษาไม่ตรงประเด็นที่คู่ความพิพาทและศาลอุทธรณ์ก็พิพากษายืนอันเป็นการไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่ง  แต่ศาลฎีกาเห็นสมควรพิพากษาแก้ไขเสียให้ถูกต้องไปทีเดียว  โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาใหม่   และเห็นว่าที่พิพาทคดีนี้มีเนื้อที่ ๖ ไร่ภายในเส้นสีแดงตามแผนที่พิพาท
พิพากษาแก้เป็นว่า  ที่ดินภายในเส้นสีแดงตามแผนที่พิพาทเป็นของโจทก์  ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง  ให้จำเลยรื้อถอนหลักรั้วที่ทำไว้ออกไป  ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกาแทนโจทก์  ๕๐๐ บาท

