แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์เช่าซื้อรถยนต์บรรทุกสิบล้อจากจำเลย สัญญาเช่าซื้อได้กำหนดการชำระค่าเช่าซื้อไว้ทุกวันที่ 25 ของเดือน แต่เมื่อโจทก์ไม่ชำระค่าเช่าซื้อตรงตามกำหนดเวลาหลายงวด โจทก์ขอผ่อนผัน จำเลยก็ยินยอมผ่อนผันให้ และเมื่อโจทก์นำค่าเช่าซื้อมาชำระหลังจากเกินกำหนดเวลาตามงวดแล้ว จำเลยก็ยินยอมรับไว้มิได้ทักท้วง เมื่อจำเลยยึดรถยนต์ไปจากโจทก์แล้ว จำเลยยังมีหนังสือให้โจทก์เอาเงินค่าเช่าซื้อที่ค้างมาชำระตามพฤติการณ์แสดงว่าในทางปฏิบัติคู่สัญญาไม่ถือเอากำหนดเวลาชำระหนี้ตามสัญญาเป็นสำคัญ ดังนี้ จะถือว่าโจทก์ผิดสัญญา สัญญาจึงเลิกกันตามข้อกำหนดในสัญญาไม่ได้ จำเลยจะเลิกสัญญาได้ก็แต่ด้วยการแสดงเจตนาบอกเลิกตามมาตรา 386 และการบอกเลิกสัญญาก็จะต้องปฏิบัติตามมาตรา 387 และ 388 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
อุทธรณ์ของจำเลยไม่ได้ยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายคัดค้านคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยให้ ดังนี้ จำเลยจะฎีกาในข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์มิได้
ค่าฤชาธรรมเนียมนั้นเป็นอำนาจของศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 161 ที่จะใช้ดุลพินิจพิพากษาให้คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นผู้เสียค่าฤชาธรรมเนียมหรือจะให้เป็นพับไปก็ได้ โดยคำนึงถึงเหตุสมควรและความสุจริตในการสู้ความหรือในการดำเนินคดีของคู่ความ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้เช่าซื้อรถยนต์บรรทุกสิบล้อไปจากโจทก์หนึ่งคันราคา ๑๖๐,๐๐๐ บาท ชำระเงินแล้ว ๔๕,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลือผ่อนชำระ ๒ งวด ๆ ละ ๕,๕๐๐ บาท โจทก์ได้ชำระไปแล้ว ๙๗,๐๐๐ บาท ต่อมาจำเลยได้ยึดรถคันดังกล่าวไปจากโจทก์โดยโจทก์มิได้ผิดสัญญา ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้บังคับจำเลยส่งมอบรถคันพิพาทคืนแก่โจทก์ โดยรับเงินค่าเช่าซื้อที่เหลือ ๖๓,๐๐๐ บาทจากโจทก์ หากไม่ยอมคืนก็ให้จำเลยชำระราคารถยนต์ตามสภาพในช่วงนั้นเป็นเงิน ๑๒๐,๐๐๐ บาท กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายระหว่างที่โจทก์ไม่ได้ใช้รถอีก ๙๘,๓๖๒.๕๐ บาท และค่าเสียหายรายวันวันละ ๓๐๐ บาทแก่โจทก์
จำเลยให้การว่าโจทก์ได้เช่าซื้อรถยนต์พิพาทจากจำเลยจริงตามสัญญาเช่าซื้อได้กำหนดวันชำระค่าเช่าซื้อไว้ในวันที่ ๒๕ ของทุกเดือน โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาตลอดมา สัญญาระหว่างโจทก์จำเลยได้เลิกกันไปแล้ว โจทก์ไม่เสียหายดังฟ้อง นอกจากนั้นจำเลยได้ชำระค่าภาษีรถยนต์ปี ๒๕๑๖ แทนโจทก์ ๔,๐๐๐ บาท และเสียค่าใช้จ่ายในการตามรถคืนอีก ๖,๐๐๐ บาท ขอให้ศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์ให้โจทก์ใช้คืนเงินจำเลย ๑๐,๐๐๐ บาท และให้จำเลยมีสิทธิรับค่าเช่าซื้อที่ชำระแล้ว ๙๗,๐๐๐ บาทด้วย
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อให้แก่จำเลยตรงตามกำหนดเวลาหลายงวด แต่จำเลยมิได้บอกเลิกสัญญา หากแต่ได้ผ่อนผันให้โจทก์ชำระค่าเช่าซื้อที่ค้าง จำเลยไม่มีอำนาจให้โจทก์ส่งมอบรถคืนหรือยึดรถโดยพลการ การที่จำเลยยึดรถคันพิพาทไปเป็นการปฏิบัติผิดสัญญาเช่าซื้อ ทำให้โจทก์เสียหายต้องจ้างรถอื่นบรรทุกไม้เสียค่าจ้างเฉลี่ยวันละ ๑๕๐ บาท โจทก์ชำระเงินค่าภาษีรถยนต์ประจำปี พ.ศ. ๒๕๑๖ ให้จำเลยแล้ว จำเลยไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าใช้จ่ายในการเอารถคืน พิพากษาให้จำเลยทั้งสองส่งมอบรถยนต์คันพิพาทในสภาพเรียบร้อยใช้การได้คืนแก่โจทก์ โดยให้จำเลยรับเงินค่าเช่าซื้อที่เหลืออีก ๖๓,๐๐๐ บาทจากโจทก์ หากจำเลยไม่ยอมคืนรถและไม่ยอมรับเงินค่าเช่าซื้อดังกล่าว ให้จำเลยชำระราคา (หักราคาค่าเช่าซื้อที่โจทก์ยังค้าง ๖๓,๐๐๐ บาทแล้ว) เป็นเงิน ๕๗,๐๐๐ บาท และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายวันละ ๑๕๐ บาท นับแต่วันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๑๖ จนกว่าจำเลยจะส่งมอบรถยนต์คืนและใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เสร็จ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะราคารถกับค่าเสียหาย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว ปัญหาข้อแรกที่จะวินิจฉัยมีว่าโจทก์หรือจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาเช่าซื้อ และมีการบอกเลิกสัญญาแล้วหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่คู่ความนำสืบว่า สัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย จ.๒ ได้กำหนดวันชำระค่าเช่าซื้อส่วนที่เหลือจากชำระในวันทำสัญญาไว้ ๒๑ งวด ทุกวันที่ ๒๕ ของแต่ละเดือน โดยเริ่มงวดแรกนับแต่วันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๑๕ เป็นต้นไป โจทก์ไม่ชำระค่าเช่าซื้อให้ตรงตามกำหนดเวลาหลายงวด แต่โจทก์ได้ขอผัดผ่อน จำเลยก็ยินยอมผ่อนผันให้ และเมื่อโจทก์นำค่าเช่าซื้อมาชำระหลังจากเกินกำหนดเวลาตามงวดแล้ว จำเลยก็ยินยอมรับไว้มิได้ทักท้วง โจทก์ได้ชำระค่าเช่าซื้อครั้งสุดท้ายเป็นเช็คสั่งจ่ายเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท เมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๑๖ รวมเงินที่โจทก์ชำระในวันทำสัญญากับที่ผ่อนชำระเป็นเงิน ๙๗,๕๐๐ บาท เฉพาะเงินค่างวดที่ผ่อนชำระเมื่อคำนวณแล้วเป็นการชำระถึงงวดที่ ๑๐ หรืองวดวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๑๖ ยังค้างชำระค่างวดในขณะนั้นอยู่อีก ๖ งวด จำเลยก็ยอมผ่อนผันให้มิได้บอกเลิกสัญญา นอกจากนี้ได้ความว่าภายหลังที่จำเลยให้นายอาคมกับพวกไปยึดรถจากโจทก์เมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๑๖ จำเลยมีหนังสือลงวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๑๖ ตามเอกสารหมาย ล. ๑ ให้โจทก์มาติดต่อจัดการเรื่องรถยนต์คันพิพาท ซึ่งจำเลยที่ ๒ เบิกความว่าเพื่อให้โจทก์เอาเงินค่าเช่าซื้อที่ค้างมาชำระ ตามพฤติการณ์แสดงให้เห็นว่า ในทางปฏิบัติเกี่ยวกับการชำระเงินค่าเช่าซื้อรถยนต์คันพิพาท หากโจทก์ชำระคลาดเคลื่อนไม่ตรงตามกำหนดเวลา จำเลยก็ยอมผ่อนผันให้ ไม่ถือเอากำหนดเวลาชำระหนี้ตามสัญญาเป็นสำคัญ แม้เกินกำหนดเวลาในสัญญาจำเลยก็ยอมรับชำระหนี้ไว้ ดังนี้ จะถือว่าโจทก์ผิดสัญญายังไม่ได้ ส่วนข้อที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา สัญญาเช่าซื้อรถยนต์คันพิพาทจึงเป็นอันเลิกกันโดยไม่จำเป็นต้องบอกกล่าว และตามหนังสือของจำเลยลงวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๑๖ ถือได้ว่าเลิกสัญญาแล้วนั้น เห็นว่าแม้กรณีจะฟังว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาก็เป็นเรื่องการไม่ชำระหนี้ หาทำให้สัญญาเลิกกันไปเองไม่ การเลิกสัญญาจะต้องแสดงเจตนาบอกเลิกตามมาตรา ๓๘๖ และการบอกเลิกสัญญาจะต้องปฏิบัติตามมาตรา ๓๘๗, ๓๘๘ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่จำเลยอ้างว่ามีหนังสือเลิกสัญญาแล้วนั้น ตามหนังสือมีข้อความว่า “เนื่องจากได้ยึดรถของท่านมา ฯลฯ ท่านยังไม่จัดการ ฉะนั้น ขอให้ท่านมาติดต่อภายในวันที่ ๓๐ พ.ย. ๑๖ นี้ ถ้าท่านไม่มาจะเลิกสัญญาหมดกรรมสิทธิ์และไม่มีการบอกกล่าวใด ๆ ทั้งสิ้น” ตามหนังสือนี้ไม่มีข้อความชัดแจ้งว่าโจทก์ผิดนัดไม่ชำระหนี้ จำเลยจึงบอกเลิกสัญญากับโจทก์ เพียงแต่แจ้งให้โจทก์มาติดต่อเกี่ยวกับรถที่ยึดมา ถ้าไม่มาจะเลิกสัญญาเท่านั้น ได้ความว่าหลังจากจำเลยมีหนังสือไปแล้ว ต่อมาประมาณ ๑๐ กว่าวันโจทก์มาติดต่อขอรถคืน จำเลยได้เกี่ยงให้โจทก์ชำระค่าเช่าซื้อที่ค้าง ค่าติดตามเอารถคืน และค่าภาษีรถยนต์ให้จำเลยเสียก่อนแล้วจะคืนรถให้ ซึ่งแสดงว่าจำเลยยังมีความประสงค์ให้โจทก์ปฏิบัติตามสัญญาเช่าซื้ออยู่ มิได้ถือว่าได้เลิกสัญญากันแล้วแต่อย่างใด จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อ การที่จำเลยให้คนไปยึดรถมาจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยต้องส่งรถคืนหรือใช้ราคารถยนต์และใช้ค่าเสียหายในการที่โจทก์ไม่ได้ใช้หรือ ขาดประโยชน์จากรถยนต์คันพิพาท
ปัญหาที่จะพิจารณาต่อไปเกี่ยวกับค่าเสียหายนั้น เมื่อฟังว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาและไม่ได้บอกเลิกสัญญา ค่าเช่าซื้อที่โจทก์ชำระแล้วย่อมตกเป็นของจำเลยตามสัญญาอยู่นั่นเอง กรณีมิใช่เป็นเรื่องริบค่าเช่าซื้อเพราะมีการเลิกสัญญาตามที่จำเลยฎีกา แต่จำเลยไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าใช้จ่ายในการติดตามเอาคืน ส่วนค่าภาษีรถที่จำเลยฟ้องแย้งว่าโจทก์ไม่ได้ชำระให้นั้น ศาลชั้นต้นฟังว่าโจทก์ชำระให้จำเลยแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยไม่ได้ยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายคัดค้านคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยให้ ดังนี้ จำเลยจะฎีกาข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์มิได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๙ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๗ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
สำหรับฎีกาของโจทก์ที่ว่า หากจำเลยไม่ยอมคืนรถควรให้จำเลยใช้ราคารถแก่โจทก์ในราคา ๑๒๐,๐๐๐ บาท หักค่าเช่าซื้อที่โจทก์ค้างชำระ ๖๓,๐๐๐ บาท จำเลยต้องชำระให้โจทก์ ๕๗,๐๐๐ บาท และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเท่าจำนวนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นนั้น เห็นว่าที่ศาลอุทธรณ์ให้จำเลยใช้ราคารถยนต์คันพิพาทแก่โจทก์ โดยถือเอาราคารถในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๑๖ ที่จำเลยยึดรถไปเป็นเงิน ๑๑๕,๐๐๐ บาทชอบแล้ว ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยให้เหตุผลโดยละเอียดแล้ว ซึ่งศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ไม่จำเป็นจะต้องกล่าวซ้ำ ส่วนข้อที่โจทก์ฎีกาว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์เป็นพับไม่ถูกต้องนั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๖๑ ให้อำนาจศาลใช้ดุลพินิจพิพากษาให้คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นผู้เสียค่าฤชาธรรมเนียมหรือจะให้เป็นพับไปก็ได้ โดยคำนึงถึงเหตุสมควรและความสุจริตในการสู้ความหรือการดำเนินคดีของคู่ความ ที่ศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจพิพากษาให้ค่าฤชาธรรมเนียมซึ่งรวมทั้งค่าทนายความให้เป็นพับชอบแล้ว
พิพากษายืน