แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
บริษัท ส.นายจ้างเดิมของพ.ซึ่งเป็นบริษัทในเครือเดียวกันบริษัทจำเลยที่ 2 นายจ้างคนใหม่ของ พ.ได้เอาประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคลให้แก่พ.กรมธรรม์ประกันภัยมิได้มีข้อความกำหนดว่าต้องเป็นอุบัติเหตุอันเนื่องจากการทำงานให้แก่นายจ้างแต่เพียงประการเดียว แม้ลูกจ้างผู้เอาประกันภัยจะประสบอันตรายโดยมิได้เกิดขึ้นจากอุบัติเหตุหรือเจ็บป่วยอันเนื่องจากการทำงานหรือป้องกันรักษาประโยชน์ให้แก่นายจ้าง บริษัทประกันภัยก็ยังคงมีหน้าที่ต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนตามสัญญา แม้บริษัท ส.จะเป็นผู้ชำระเบี้ยประกันก็เป็นเพียงการให้สวัสดิการเพื่อบำรุงขวัญและเป็นกำลังใจในการปฏิบัติงานในหน้าที่ของ พ.เท่านั้น ค่าสินไหมทดแทนที่โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นทายาทของ พ.ได้รับจากบริษัทประกันภัยจึงมิใช่เป็นเงินทดแทนตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ซึ่งเป็นหน้าที่ของบริษัทจำเลยที่ 2 ผู้เป็นนายจ้างที่จะต้องจ่ายให้แก่ลูกจ้างเมื่อลูกจ้างประสบอันตราย เจ็บป่วยหรือถึงแก่ความตายเนื่องจากการทำงานให้แก่นายจ้าง
กรณีที่นายจ้างได้เอาประกันการจ่ายเงินทดแทนไว้กับบริษัทประกันภัย ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง ประเภท ขนาดของกิจการและท้องที่ที่ให้นายจ้างจ่ายเงินสมทบกองทุนเงินทดแทน ฉบับที่ 13 ข้อ 4นั้น เป็นกรณีที่นายจ้างได้เอาประกันไว้แล้วไม่ต้องจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนเงินทดแทนสำหรับลูกจ้างที่เอาประกันไว้เท่านั้น หาได้กำหนดว่าเงินที่เอาประกันภัยเป็นเงินทดแทนไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า นายไพจิตรลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ได้ประสบอุบัติเหตุถึงแก่ความตายเนื่องจากการทำงานให้แก่จำเลยที่ 2 โจทก์ทั้งสองเป็นบุตรของนายไพจิตรได้ยื่นคำร้องขอรับเงินทดแทนต่อพนักงานเงินทดแทน พนักงานเงินทดแทนมีคำสั่งให้จำเลยที่ 2 จ่ายเงินทดแทนแก่โจทก์ทั้งสองและนางถัดมารดาของผู้ตาย จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ต่อจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 วินิจฉัยต่อโจทก์ทั้งสองได้รับเงินทดแทนจากบริษัทประกันภัยแล้ว ให้จำเลยที่ 2 จ่ายค่าทดแทนให้แก่นางถัดคนเดียว ขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของจำเลยที่ 1และบังคับให้จำเลยที่ 2 จ่ายเงินทดแทนให้แก่โจทก์ทั้งสอง
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 2 ได้เอาประกันชีวิตและอุบัติเหตุแก่ลูกจ้างรวมทั้งนายไพจิตรโดยเอาประกันในนามของบริษัทสุราทิพย์เขตสุราษฎร์ธานี จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือเดียวกัน ในการกำหนดวงเงินประกันจำเลยที่ 2 ได้พิจารณาจากสิทธิและจำนวนเงินทดแทนตามกฎหมายแรงงานที่ลูกจ้างหรือผู้มีสิทธิจะได้รับเมื่อประสบอันตรายถึงแก่ชีวิตร่างกาย โจทก์ทั้งสองได้รับค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทประกันภัยแล้ว จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องจ่ายเงินทดแทนให้อีก
ศาลแรงงานกลางพิพากษา ให้เพิกถอนคำสั่งอธิบดีกรมแรงงานที่ 17/2530 เฉพาะที่เกี่ยวกับโจทก์ทั้งสอง ให้จำเลยที่ 2 จ่ายเงินทดแทนให้แก่โจทก์ทั้งสอง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 103 ข้อ 2(6) และประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานข้อ 2 ที่ให้คำนิยามคำว่า “ประสบอันตราย” “ค่าทดแทน” “เงินทดแทน” นั้นแสดงให้เห็นเจตนารมณ์ของรัฐที่ประสงค์จะให้ความคุ้มครองแก่ลูกจ้างเพื่อเป็นหลักประกันแก่ลูกจ้างว่าจะต้องได้รับเงินทดแทนในเมื่อลูกจ้างประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย หรือถึงแก่ความตายเนื่องจากการทำงานให้แก่นายจ้าง อันเป็นสิ่งสนับสนุนให้ลูกจ้างปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญาจ้างด้วยความมั่นใจในความเป็นอยู่ของตนและครอบครัวมิให้ได้รับความเดือดร้อนทั้งในปัจจุบันและอนาคต จึงเป็นหน้าที่ของนายจ้างที่จะต้องรับผิดตามข้อกำหนดดังกล่าวอันไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ข้อกำหนดนี้จึงเป็นกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ส่วนกรณีที่ได้มีการทำสัญญาประกันชีวิตลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ไว้โดยรวมถึงนายไพจิตต์ด้วยกรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคลเลขที พี.เอ. 1757/86 ที่มีชื่อบริษัทสุราทิพย์เขตสุราษฎร์ธานี จำกัด เป็นผู้เอาประกันภัยไว้ (เอกสารลำดับที่ 57 และ 58 ในสำนวนการสอบสวนของกองคุ้มครองแรงงาน กรมแรงงาน)แต่ตามเอกสารลำดับที่ 57 ได้ระบุผู้เอาประกันภัยที่แท้จริงคือนายไพจิตต์ก้องบูลยาพงศ์ ดังนี้ นายไพจิตต์จึงเป็นผู้เอาประกันภัยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 3 ลักษณะ 20 หมวด 3 ซึ่งมีสิทธิต่าง ๆ ตามที่บัญญัติไว้ในบทกฎหมายดังกล่าวโดยเฉพาะ นอกจากนั้นตามกรมธรรม์ฉบับนี้ก็เป็นเรื่องของการประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล โดยมิได้มีข้อความกำหนดว่าต้องเป็นอุบัติเหตุอันเนื่องจากการทำงานให้แก่นายจ้างแต่เพียงประการเดียว แม้ลูกจ้างผู้เอาประกันจะประสบอันตรายโดยมิได้เกิดขึ้นจากอุบัติเหตุ หรือเจ็บป่วยอันเนื่องจากการทำงานให้แก่นายจ้างหรือการป้องกันรักษาประโยชน์ให้แก่นายจ้างก็ตาม บริษัททิพยประกันภัย จำกัด ก็ยังคงมีหน้าที่ต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาด้วย การที่นายไพจิตต์มิได้เป็นผู้ชำระเบี้ยประกันด้วยตนเองโดยบริษัทสุราทิพย์เขตสุราษฎร์ธานี จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือเดียวกับจำเลยที่ 2และเป็นนายจ้างเดิมของนายไพจิตต์เป็นผู้ชำระเบี้ยประกันก็เป็นเพียงการให้สวัสดิการเพื่อบำรุงขวัญและเป็นกำลังใจในการปฏิบัติงานในหน้าที่ของนายไพจิตต์เท่านั้น ค่าสินไหมทดแทนที่โจทก์ทั้งสองได้รับจากบริษัททิพยประกันภัยจำกัด จึงมิใช่เป็นเงินทดแทนตามประกาศกระทรวงมหาดไทยฉบับดังกล่าว ส่วนที่ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง ประเภท ขนาดของกิจการและท้องที่ที่ให้นายจ้างจ่ายเงินสมทบกองทุนเงินทดแทน ฉบับที่ 6 (ที่ถูกเป็นฉบับที่ 13) ข้อ 4 ว่า การที่นายจ้างได้จัดเอาเงินประกันการจ่ายเงินทดแทนแสดงว่า ได้มีการยอมรับว่าเงินทดแทนตามสัญญาประกันภัยเป็นประเภทเดียวกับเงินทดแทนตามกฎหมายแรงงาน ศาลฎีกาเห็นว่า ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย ฉบับดังกล่าวได้มีความในข้อ 4 ว่า
“นายจ้างซึ่งมีหน้าที่จ่ายเงินสมทบกองทุนเงินทดแทน ถ้าได้เอาประกันการจ่ายเงินทดแทนแก่ลูกจ้างทั้งหมดหรือบางส่วนไว้กับบริษัทประกันภัยที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยการนั้นในวันที่ประกาศฉบับนี้ใช้บังคับ และได้ส่งมอบสำเนาสัญญาประกันเงินทดแทนต่อสำนักงานแรงงานจังหวัดที่สถานประกอบการนั้นตั้งอยู่ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ประกาศฉบับนี้ใช้บังคับ ไม่ต้องจ่ายเงินสมทบกองทุนเงินทดแทนสำหรับลูกจ้างที่เป็นผู้รับประโยชน์จากสัญญาประกันจนกว่าจะสิ้นสุดเวลาตามสัญญาประกันเงินทดแทน แต่ต้องไม่เกินหนึ่งปีนับแต่วันที่ประกาศฉบับนี้ใช้บังคับ” ข้อกำหนดดังกล่าวนี้เป็นบทบังคับในกรณีที่นายจ้างได้เอาประกันการจ่ายเงินทดแทนแก่ลูกจ้างไว้แล้ว ไม่ต้องจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนเงินทดแทนสำหรับลูกจ้างที่เอาประกันภัยไว้เท่านั้น กรณีหาได้กำหนดว่าเงินที่เอาประกันภัยเป็นเงินทดแทนไปไม่