คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1386/2521

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ว.เป็นคนไปพูดหลอกลวงผู้เสียหายว่า จะพาไปทำงานด้วยกันกับนางสาว พ. พี่สาวที่กรุงเทพฯ เมื่อผู้เสียหายตกลงไปตามคำหลอกลวงแล้ว ว.ก็พาผู้เสียหายไปที่บ้านจำเลย และในวันเดียวกันนั้นเองจำเลยและ ว. กับพวก ก็พาผู้เสียหายไปค้าประเวณีที่กรุงเทพฯ โดยไม่ต้องมีการตกลงนัดหมายอะไรกันอีก พฤติการณ์ดังกล่าวฟังได้ว่า จำเลยกระทำไปโดยจำเลยและ ว.กับพวกได้คบคิดกันมาก่อนว่าจะล่อหรือชักพาผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจาร เพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่นโดยใช้อุบายหลอกลวง โดยกำหนดหน้าที่ให้ ว.ไปใช้อุบายหลอกลวง ล่อหรือชักพาผู้เสียหายตามที่ได้คบคิดกันไว้นั้น เมื่อได้ตัวผู้เสียหายมาแล้ว จำเลยและ ว.กับพวกก็พาไปบังคับให้ค้าประเวณี จำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282 วรรคแรก และมาตรา 283 วรรคสอง มาตรา 83 แต่ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 วรรคสอง ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยแนะนายวิชัย สมบูรณ์ กับพวกอีก ๒ คน ร่วมกันเป็นธุระจัดหาล่อไปหรือชักพานางสาวเพลิน โพธิ อายุ ๑๗ ปี ไปเพื่อการอนาจารและเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่น โดยนายวิชัยได้ใช้อุบายหลอกลวงนางสาวเพลินว่า จะพาไปตามหาพี่สาวที่จังหวัดลำปาง นางสาวเพลินหลงเชื่อได้ตามนายวิชัยไป แต่นายวิชัยกลับพานางสาวเพลินไปให้จำเลยกับพวก แล้วจำเลยและนายวิชัยกับพวกได้พานางสาวเพลินไปกรุงเทพมหานคร บังคับขู่เข็ญให้ค้าประเวณี ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๒, ๒๘๓, ๘๓
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๒, ๒๘๓, ๘๓, ฯลฯ จำคุก ๕ ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยร่วมกับพวกเฉพาะเป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือชักพาผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจารและเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่น มิได้เป็นผู้ใช้อุบายหลอกลวงผู้เสียหายไปจากบ้านด้วย พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๒, ๘๓ จำคุก ๓ ปี ข้อหาอื่นให้ยก
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๓ ด้วย
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเป็นธุระจัดหาหรือชักพานางสาวเพลิน ซึ่งมีอายุ ๑๗ ปี ไปเพื่อให้ไปค้าประเวณี คดีมีปัญหาว่าจำเลยกระทำการดังกล่าวโดยใช้อุบาลหลอกลวงนางสาวเพลินผู้เสียหายด้วยหรือไม่ เห็นว่า แม้ข้อเท็จจริงจะได้ความว่า นายวิชัยหรือชาติหรือสุชาติ เป็นคนไปพูดหลอกลวงนางสาวเพลินว่า จะพาไปทำงานด้วยกันกับพี่สาวก็ตาม แต่เมื่อนางสาวเพลินตกลงไปตามคำหลอกลวงแล้ว นายวิชัยก็พานางสาวเพลินไปที่บ้านจำเลย และในวันเดียวกันนั้นเอง จำเลยและนายวิชัยกับพวก ก็พานางสาวเพลินไปค้าประเวณีที่กรุงเทพมหานคร โดยไม่ต้องมีการตกลงนัดหมายอะไรกันอีก พฤติการณ์ดังกล่าวฟังได้ว่า จำเลยกระทำไปโดยจำเลยและนายวิชัยกับพวกได้คบคิดกันมาก่อนว่า จะล่อหรือชักพานางสาวเพลินไปเพื่อการอนาจาร เพื่อสำเร็จความใคร่ของผู้อื่นโดยใช้อุบายหลอกลวง และกำหนดหน้าที่ให้นายวิชัยไปใช้อุบายหลอกลวง ล่อหรือชักพานางสาวเพลินตามที่ได้คบคิดกันไว้นั้น เมื่อได้ตัวนางสาวเพลินมาแล้ว จำเลยและนายวิชัยกับพวกก็พาไปบังคับให้ค้าประเวณี จึงต้องถือว่าจำเลยเป็นตัวการร่วมกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๓ ด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๒ วรรคแรก และมาตรา ๒๘๓ วรรคสอง แต่ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๓ วรรคสอง ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ ให้จำคุกจำเลยไว้มีกำหนด ๕ ปี

Share