แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้เสียหายย่อมฟ้องนายจ้างของผู้ทำละเมิดให้ร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดที่ผู้ทำละเมิดกระทำไปในทางการที่จ้างได้ โดยไม่จำต้องบอกกล่าวทวงถามก่อน เพราะถือว่าได้ผิดนัดมาตั้งแต่วัดทำละเมิดแล้ว
เมื่อเหตุที่รถชนกันเกิดเพราะความประมาทของคนขับรถทั้งสองฝ่าย และพฤติการณ์แห่งละเมิดมีความร้ายแรงพอ ๆ กัน ความเสียหายย่อมเป็นพับกันไป
ผู้ตายเนื่องจากการทำละเมิดเป็นบุตรโจทก์ แม้โจทก์ไม่ได้ออกค่าใช้จ่ายในการจัดการศพ โดยภรรยาผู้ตายเป็นผู้ออกก็ตาม แต่ค่าใช้จ่ายในการนี้เป็นค่าใช้จ่ายอันจำเป็นที่โจทก์มีสิทธิเรียกร้องได้ จำเลยจะยกเอาข้อที่ภรรยาผู้ตายเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายมายกเป็นข้อปัดความรับผิดของจำเลยหาได้ไม่ และแม้โจทก์จะยังไม่ได้จ่ายเงินค่าฌาปนกิจศพผู้ตายก็ตาม โจทก์ก็มีสิทธิเรียกร้องได้
ส่วนค่าขาดไร้อุปการะนั้น บุตรมีหน้าที่อุปการะบิดามารดาตามกฎหมายการที่บุตรโจทก์ตาย ถือได้ว่าโจทก์ต้องขาดไร้อุปการะตามกฎหมายแล้ว มิต้องคำนึงว่าโจทก์ผู้เป็นบิดามารดาจะเป็นผู้มีทรัพย์สินมากน้อยเพียงใดยังสามารถเลี้ยงต้นเองได้หรือไม่ โจทก์จึงชอบที่จะได้รับค่าสินไหนทดแทนในการที่ต้องขาดไร้อุปการะนั้น และค่าสินไหมทดแทนเนื่องจากขาดไร้อุปการะที่ศาลกำหนดให้นี้เป็นหนี้ซึ่งเกิดจากมูลละเมิดอันไม่อาจแบ่งแยกได้เมื่อศาลฎีกากำหนดให้ลดน้อยลงมาอีก ย่อมพิพากษาให้มีผลไปถึงจำเลยที่มิได้ฎีกาขึ้นมาได้
ย่อยาว
คดีสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกัน
สำนวนแรกโจทก์ฟ้องว่า นายชีพลูกจ้างจำเลยที่ ๑ ได้ขับรถบรรทุกหมายเลข น.ว.๐๕๗๑๑ ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๑ ไปตามถนนเพชรเกษมโฉมหน้าจากทิศใต้ไปทิศเหนือ จำเลยที่ ๒ ได้ขับรถบรรทุกหมายเลข พ.บ.๐๐๖๓๕ จากทิศเหนือไปทิศใต้ ครั้นรถยนต์ทั้งสองคันจะสวนทางกัน นายชีพและจำเลยที่ ๒ ต่างขับรถด้วยความประมาท โดยขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด กินทางซึ่งกันและกันและต่างขับรถชิดแนวเส้นแบ่งเขตถนนเพชรเกษม เป็นเหตุให้รถทั้งสองคันชนกัน รถจำเลยที่ ๑ เสียหลักวิ่งแฉลบไปชนรถจักรยานคันที่นายยวงขับขี่มาชิดขอบถนน นายยวงตกจากรถจักรยานได้รับบาดเจ็บถึงแก่ความตายในวันนั้น นายยวงเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ทั้งสอง โจทก์จึงฟ้องขอให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าเสียหาย ๖๐,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยให้แก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การปฏิเสธว่าโจทก์ทั้งสองจะเป็นบิดามารดาโดยชอบด้วยกฎฆมายของนายยวงหรือไม่ ไม่ทราบและไม่รับรอง การที่นายยวงถึงแก่ความตายเป็นความประมาทของจำเลยที่ ๒ ฝ่ายเดียว ค่าเสียหายไม่จริงตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง ส่วนจำเลยที่ ๒ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
สำนวนหลังโจทก์ฟ้องและเพิ่มเติมฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกหมายเลข น.ว.๐๕๗๑๑ จำเลยที่ ๑ ได้ขับรถบรรทุกหมายเลข พ.บ.๐๐๖๓๕ ซึ่งเป็นรถของจำเลยที่ ๒ ไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ โดยความประมาท ขับด้วยความเร็วและแซงรถคันอื่นเข้าไปชนรถโจทก์ที่แล่นสวนทางมา จนรถโจทก์แฉลบตกลงไปในคู่ได้รับความเสียหายรวมทั้งสิ้น ๑๓๖,๗๑๔ บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วกันชดใช้ให้โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ เช่าซื้อรถไปจากจำเลยที่ ๒ ไปขับรถหาประโยชน์ของตนเองเหตุที่รถชนกันเป็นความประมาทของนายชีพลูกจ้างของโจทก์ โจทก์จึงต้องรับผิดร่วมด้วย ค่าเสียหายโจทก์เรียกร้องเกินสมควรขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นให้เรียกโจทก์ทั้งสองในสำนวนแรกว่าโจทก์ที่ ๑ และที่ ๒ เรียกนางสุรางค์จำเลยที่ ๑ สำนวนแรกซึ่งเป็นโจทก์สำนวนหลังว่าจำเลยที่ ๑ เรียกนายเนี้ยวหรือเกรียวจำเลยที่ ๒ สำนวนแรกซึ่งเป็นจำเลยที่ ๑ ในสำนวนหลังว่า จำเลยที่ ๒ และให้เรียกนายวีระจำเลยที่ ๒ สำนวนหลังว่า จำเลยที่ ๓
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสอง ๖๐,๐๐๐ บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ย ยกฟ้องจำเลยที่ ๓
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ร่วมกันใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งสองเป็นเงิน ๕๙,๘๐๐ บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์ทั้งสองมรณะ ศาลฎีกาอนุญาตให้นางเยื้องและเด็กชายวันเพ็ญโดยนางทองคำมารดาผู้แทนโดยชอบธรรมเข้าเป็นคู่ความแทนที่
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า นายชีพเป็นลูกจ้างได้ทำการละเมิดในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นนายจ้าง จำเลยที่ ๑ ย่อมจะต้องร่วมกันรับผิดกับนายชีพในผลแห่งละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๒๕ ด้วย จำเลยที่ ๑ จึงอยู่ในฐานะเป็นลูกหนี้เช่นเดียวกับนายชีพ และได้ความว่าโจทก์ทั้งสองเป็นบิดามารดาของผู้ตาย เหตุที่ตายลงนั้นโจทก์ฟ้องว่าทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายและต้องขาดไร้อุปการะ โจทก์จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๔๓ เหตุนี้โจทก์และจำเลยที่ ๑ จึงไม่ใช้บุคคลภายนอก เมื่อกรณีของคดีเป็นหนี้อันเกิดแต่มูลละเมิด จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นลูกหนี้ย่อมได้ชื่อว่าผิดนัดมาแต่เวลาที่ทำละเมิดดังความในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๐๖ บัญญัติว่า “ในกรณีหนี้อันเกิดแต่มูลละเมิด ลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัดมาแต่เวลาที่ทำละเมิด” ฉะนั้น จำเลยที่ ๑ จึงต้องรับผิดนับแต่วันเวลาที่ทำละเมิด การฟ้องจำเลยที่ ๑ นายจ้างให้ร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดที่ลูกจ้างได้กระทำไปในทางการที่จ้าง โจทก์ไม่ได้บอกกล่าวทวงถามให้จำเลยที่ ๑ ชำระหนี้แก่โจทก์ก่อน โจทก์ก็มีอำนาจฟ้องเพราะถือว่าได้ผิดนัดมาตั้งแต่วันละเมิด เมื่อข้อเท็จจริงฟังว่าการที่รถทั้งสองคันเกิดชนกันขึ้นเป็นเพราะความประมาทเลินเล่อของทั้งสองฝ่ายความเสียหายที่เกิดขึ้นจึงเป็นความผิดของรถจำเลยที่ ๑ ซึ่งได้ก่อให้เกิดขึ้นด้วย เมื่อความเสียหายได้เกิดขึ้นเพราะความผิดของรถจำเลยที่ ๑ ด้วย เช่นนี้การพิจารณาถึงความเสียหายของทั้งสองฝ่าย จำต้องอาศัยพฤติการณ์เป็นประมาณ ข้อสำคัญก็คือว่าความเสียหายนั้นได้เกิดขึ้นเพราะฝ่ายไหนเป็นผู้ก่อยิ่งหย่อนกว่ากันเพียงใด ดังบัญญัติไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๔๒ ประกอบด้วยมาตรา ๒๒๓ ศาลฎีกาพิจารณาตามพฤติการณ์แห่งละเมิดของทั้งสองฝ่ายแล้วเห็นว่า มีความร้ายแรงพอ ๆ กัน ความเสียหายจึงย่อมเป็นพับกันไป จำเลยที่ ๒ จึงไม่ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่จำเลยที่ ๑ เมื่อวินิจฉัยเช่นนี้แล้ว ก็จำต้องวินิจฉัยว่าจำเลยที่ ๓ เป็นนายจ้างของจำเลยที่ ๒ ซึ่งจะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๒ ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่จำเลยที่ ๑ อีกหรือไม่ เพราะจำเลยที่ ๒ ไม่ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยที่ ๑ เสียแล้ว
ข้อที่จำเลยที่ ๑ ฎีกาว่า ค่าหีบศพ ๓๐๐ บาท เงินทำบุญพระ ๕๐๐ บาท และเงินทำบุญครบ ๗ วัน ๑,๐๐๐ บาท ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดการศพนี้นางทองคำภรรยาผู้ตายเป็นผู้ออก โจทก์ไม่ได้เป็นผู้ออก โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องนั้น เห็นว่าค่าใช้จ่ายดังกล่าวเป็นค่าใช้จ่ายอันจำเป็นในการจัดการศพของผู้ตาย เมื่อโจทก์มีสิทธิที่จะเรียกร้องให้จำเลยที่ ๑ ใช้ค่าปลงศพบุตรโจทก์ซึ่งถูกลูกจ้างจำเลยที่ ๑ กระทำให้ถึงแก่ความตาย แม้นางทองคำภรรยาผู้ตายจะได้เป็นผู้ออกเงินเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดการศพนี้ก็ตาม จำเลยที่ ๑ ก็จะยกมาเป็นข้อปัดความรับผิดของจำเลยที่ ๑ หาได้ไม่ ที่จำเลยที่ ๑ ฎีกาว่าค่าฌาปนกิจศพผู้ตาย ๘,๐๐๐ บาท สูงเกินไปควรไม่เกิน ๒,๐๐๐ บาท และโจทก์ยังไม่ได้จ่ายเงินไปจริง โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องเกินไปกว่า ๒,๐๐๐ บาทนั้น เห็นว่าโจทก์มีสิทธิเรียกร้องค่าฌาปนกิจศพผู้ตายตามประเพณี แม้ยังไม่ได้จ่ายเงินไปจริงได้ ที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดค่าฌาปนกิจศพให้โจทก์ ๘,๐๐๐ บาท พอสมควรแก่ฐานะและภาวะค่าครองชีพในปัจจุบันแล้ว ส่วนที่จำเลยที่ ๑ ฎีกาว่า โจทก์เป็นผู้มีทรัพย์สินและยังสามารถเลี้ยงตนเองได้ โดยเอาที่นาและที่สวนให้คนอื่นเช่าทำ ได้ค่าเช่าไม่น้อยกว่า ๑๐,๐๐๐ บาทต่อปี โจทก์จึงไม่ใช่ผู้ที่จะได้รับการอุปการะเลี้ยงดูและไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าอุปการะเลี้ยงดูตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๙๔ นั้น เห็นว่ามาตรา ๑๕๙๔ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เป็นเรื่องเรียกร้องค่าอุปการะเลี้ยงดูระหว่างผู้มีสิทธิได้รับกับผู้มีหน้าที่ต้องจ่าย เช่นระหว่างภรรยากับสามีหรือระหว่างบุตรกับบิดามารดา กฎหมายจึงบัญญัติว่าผู้มีสิทธิเรียกร้องต้องเป็นผู้ไร้ทรัพย์สินและมิสามารถเลี้ยงตนเองได้ แต่คดีนี้เป็นเรื่องละเมิด ฝ่ายโจทก์ฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นนายจ้างของผู้ทำละเมิดอันเป็นเหตุให้บุตรโจทก์ถึงแก่กรรม โดยอาศัยสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๔๓ วรรค ๓ มิใช่เป็นการเรียกร้องค่าอุปการะโดยตรง กฎหมายมาตรานี้บัญญัติว่า ถ้าเหตุที่ตายลงนั้นทำให้บุคคลใดต้องขาดไร้อุปการะตามกฎหมายบุคคลนั้นชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทน จะเห็นได้ชัดว่าการเรียกร้องนี้เป็นการเรียกค่าสินไหมทดแทนต่างหาก เมื่อบุตรมีหน้าที่ต้องอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดาตามกฎหมาย การที่บุตรโจทก์ถึงแก่ความตาย ถือได้ว่าโจทก์ต้องขาดไร้อุปการะตามกฎหมายแล้ว ทั้งนี้โดยมิต้องคำนึ่งว่าโจทก์ผู้เป็นบิดามารดาจะเป็นผู้มีทรัพย์สินมากน้อยเพียงไร และยังสามารถเลี้ยงตนเองได้หรือไม่ โจทก์ซึ่งเป็นบิดามารดาชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนในการที่จะต้องขาดไร้อุปการะนั้น และที่จำเลยที่ ๑ ฎีกาว่าค่าอุปการะเลี้ยงดูสูงเกินสมควรนั้น นางทองคำพยานโจทก์เบิกความว่าผู้ตายจ่ายค่าเลี้ยงดูโจทก์และครอบครัวผู้ตายเป็นเงินเดือนละ ๕๐๐ บาท ผู้ตายมีบุตรกับนางทองคำ ๓ คน แสดงว่าเงิน ๕๐๐ บาทนี้ นอกจากผู้ตายจะจ่ายเป็นค่าเลี้ยงดูโจทก์แล้วยังจ่ายเป็นค่าเลี้ยงดูนางทองคำและบุตรอีก ๓ คนด้วย ศาลฎีกาเห็นว่าศาลอุทธรณ์กำหนดค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์เป็นค่าที่ต้องขาดไร้อุปการะเป็นเงิน ๕๐,๐๐๐ บาทนั้นสูงเกินไป ศาลฎีกาเห็นสมควรกำหนดให้เป็นเงิน ๓๐,๐๐๐ บาท คดีนี้แม้จำเลยที่ ๒ จะมิได้ฎีกาแต่กรณีเป็นหนี้ร่วม ซึ่งเกิดจากมูลละเมิดอันไม่อาจแบ่งแยกได้ ศาลฎีกาพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นลูกหนี้ร่วมที่ไม่ได้ฎีกาด้วย
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เฉพาะเรื่องค่าสินไหมทดแทน ค่าขาดไร้อุปการะ โดยให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ร่วมกันชำระเงิน ๓๐,๐๐๐ บาทแก่โจทก์ทั้งสอง นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์