แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำฟ้องโจทก์บรรยายว่า จำเลยกับพวกได้บังอาจร่วมกันล่าปะการังแข็งทุกชนิดในอันดับ Scleractinia และ Stylasterina ซึ่งเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ซึ่งคำว่า “ล่า” นั้นตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวให้คำนิยามไว้ว่า หมายความว่า เก็บ ดัก จับ ยิง ฆ่า หรือทำอันตรายด้วยประการอื่นแก่สัตว์ป่าที่ไม่มีเจ้าของและอยู่เป็นอิสระ ดังนั้น เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยกับพวกร่วมกันล่าปะการังแข็งซึ่งเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองย่อมหมายความถึงปะการังนั้น ไม่มีเจ้าของและอยู่เป็นอิสระโดยหาต้องบรรยายถ้อยคำดังกล่าวไว้ในคำฟ้องอีก คำฟ้องโจทก์หาได้เคลือบคลุมไม่
การจะพิจารณาว่า การกระทำใดเป็นความผิดหลายกรรมหรือไม่ต้องพิจารณาจากเจตนาของผู้กระทำเป็นสำคัญ ความผิดฐานล่าสัตว์ป่าคุ้มครอง และความผิดฐานมีไว้ในครอบครองซึ่งซากสัตว์คุ้มครองมีองค์ประกอบของความผิดแตกต่างกันและแยกต่างหากจากกัน จำเลยล่าสัตว์ป่าคุ้มครองโดยการเก็บหรือทำอันตรายด้วยประการใด ๆ แก่สัตว์ป่าคุ้มครอง ย่อมเป็นการกระทำโดยเจตนาที่จะล่าสัตว์ป่าคุ้มครองและเป็นความผิดสำเร็จ เมื่อจำเลยเก็บหรือทำอันตรายแก่สัตว์ป่าคุ้มครองและการที่จำเลยมีไว้ในครอบครองซึ่งซากสัตว์ป่าคุ้มครองจำนวน 38 กระสอบตามฟ้อง ย่อมเป็นเจตนาอีกอันหนึ่งในการที่จะครอบครองซากสัตว์ป่าคุ้มครองจำนวน 38 กระสอบ แยกต่างหากจากการเก็บหรือทำอันตรายแก่สัตว์ป่าคุ้มครอง ถือได้ว่าความผิดทั้งสองฐานเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๔, ๖, ๑๖, ๑๙, ๔๗, ๕๗, ๕๘ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓, ๙๑ ริบซากหินปะการัง (แข็ง) กับตะกร้าพลาสติกและบุ้งกี๋ของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๑๖, ๑๙ วรรคหนึ่ง, ๔๗, ๕๗, ๕๘ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓ เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ ฐานล่าสัตว์ป่าคุ้มครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก ๑ ปี ๖ เดือน ฐานมีไว้ในครอบครองซึ่งซากของสัตว์ป่าคุ้มครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก ๑ ปี ๖ เดือน รวมจำคุก ๒ ปี ๑๒ เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ กึ่งหนึ่ง คงจำคุก ๑ ปี ๖ เดือน ริบซากหินปะการัง (แข็ง) ตะกร้าพลาสติกและบุ้งกี๋ของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำคุกกระทงละ ๑ ปี รวมจำคุก ๒ ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งแล้ว คงจำคุก ๑ ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยฎีกาว่า คำฟ้องโจทก์ในข้อหาล่าสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและ คุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๑๖, ๔๗ เคลือบคลุม เพราะไม่มีถ้อยคำว่า สัตว์ป่าคุ้มครองที่ไม่มีเจ้าของและอยู่เป็นอิสระ ทำให้จำเลยเข้าใจว่า ปะการังที่จำเลยเก็บนั้นเป็นปะการังที่ตายแล้ว จำเลยจึงรับสารภาพนั้น เห็นว่า คำฟ้องโจทก์ได้บรรยายไว้ว่า จำเลยกับพวกได้บังอาจร่วมกันล่าปะการังแข็งทุกชนิดในอันดับ Scleractinia และ Stylasterina ซึ่งเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ซึ่งคำว่า ล่า นั้น ตามมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ได้ให้คำนิยามไว้ว่า หมายความว่า เก็บ ดัก จับ ยิง ฆ่า หรือทำอันตรายด้วยประการอื่นแก่สัตว์ป่าที่ไม่มีเจ้าของและอยู่เป็นอิสระ ดังนั้น เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยกับพวกร่วมกันล่าปะการังแข็งซึ่งเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองย่อมหมายความถึงปะการังนั้นไม่มีเจ้าของและ อยู่เป็นอิสระโดยหาต้องบรรยายถ้อยคำดังกล่าวไว้ในคำฟ้องอีก ส่วนคำบรรยายฟ้องต่อมาเป็นการบรรยายรายละเอียดถึงวิธีการล่าโดยการเก็บหรือทำอันตรายด้วยประการอื่นใด ซึ่งน่าจะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี คำฟ้องโจทก์จึงหาได้เคลือบคลุมไม่ ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้จำเลยรับสารภาพเพราะไม่เข้าใจคำฟ้อง ดังที่จำเลยฎีกา
จำเลยฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. ๒๕๓๕ บัญญัติห้ามมิให้ผู้ใดล่าสัตว์ป่าคุ้มครองไว้ในมาตรา ๑๖ และบัญญัติห้ามมิให้ผู้ใดมีไว้ในครอบครองซึ่งซากของสัตว์ป่าคุ้มครองไว้ในมาตรา ๑๙ และมาตรา ๔๗ ได้บัญญัติว่า ผู้ใดฝ่าฝืน มาตรา ๑๖ และมาตรา ๑๙
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสี่ปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แสดงว่ากฎหมายมุ่งประสงค์ให้ลงโทษผู้กระทำการฝ่าฝืนมาตราใดมาตราหนึ่งหรือหลายมาตราคราวเดียวกันที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๔๗ เพียงกรรมเดียว ไม่ใช่หลายกรรมดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๓ พิพากษามานั้น เห็นว่า การที่จะพิจารณาว่าการกระทำใดเป็นความผิดหลายกรรมหรือไม่ ต้องพิจารณาจากเจตนาของผู้กระทำเป็นสำคัญ ความผิดฐานล่าสัตว์ป่าคุ้มครอง และความผิดฐานมีไว้ในครอบครองซึ่งซากสัตว์ป่าคุ้มครอง มีองค์ประกอบของความผิดแตกต่างกันและแยกต่างหากจากกันจำเลยล่าสัตว์ป่าคุ้มครองโดยการเก็บหรือทำอันตรายด้วยประการใด ๆ แก่สัตว์ป่าคุ้มครองย่อมเป็นการกระทำโดยเจตนาที่จะล่าสัตว์ป่าคุ้มครองและเป็นความผิดสำเร็จ เมื่อจำเลยเก็บหรือทำอันตราย แก่สัตว์ป่าคุ้มครอง และการที่จำเลยมีไว้ในครอบครองซึ่งซากสัตว์ป่าคุ้มครอง จำนวน ๓๘ กระสอบตามฟ้อง ย่อมเป็นเจตนาอีกอันหนึ่งในการที่จะครอบครองซากสัตว์ป่าคุ้มครองจำนวน ๓๘ กระสอบ แยกต่างหากจากการเก็บหรือ ทำอันตรายแก่สัตว์ป่าคุ้มครอง ถือได้ว่าความผิดทั้งสองฐานเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องแยกความผิดทั้งสองฐานออกจากกันเป็นข้อ ก และ ข้อ ข ชัดเจน และมีคำขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดทั้งสองฐานโดยอ้างประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ มาด้วย ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ ย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดได้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๒ ในส่วนนี้ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน