แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 3 เป็นเจ้าของรถบรรทุกนำมาร่วมกิจการขนส่งกับห้างจำเลยที่ 4 ลูกจ้างผู้ขับรถคันนี้ย่อมถือได้ว่าเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 3 และที่ 4
เมื่อได้ความว่าห้างจำเลยที่ 4 ยังประกอบการขนส่งสาธารณะอยู่ แม้ใบอนุญาตขนส่งจะหมดอายุแล้ว ห้างจำเลยที่ 4 ก็ยังไม่พ้นความรับผิดในผลแห่งการละเมิดที่ลูกจ้างกระทำลงในการขนส่งนั้น
แม้ผู้ตายจะมีอายุ 64 ปี แต่ร่างกายยังแข็งแรงไม่เจ็บป่วยยังสามารถประกอบอาชีพได้ ถ้าหากผู้ตายไม่ประสบอุบัติเหตุถึงแก่ความตายเสียก่อนย่อมเป็นที่คาดหมายได้ว่าผู้ตายจะมีชีวิตต่อไปอีกมากกว่า 2 ปี โจทก์ซึ่งเป็นภริยาไม่มีรายได้อย่างอื่นนอกจากเงินเดือนที่ผู้ตายมอบให้เดือนละ 5,000 บาทตามพฤติการณ์ดังกล่าวที่ศาลล่างกำหนดค่าขาดไร้อุปการะเดือนละ 2,000 บาทเป็นเวลา 4 ปี เป็นเงิน 96,000 บาท จึงเป็นการเหมาะสมแล้ว
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ว่าทำละเมิดและฟ้องจำเลยที่ 3 ที่ 4 ในฐานะนายจ้างให้ร่วมรับผิดด้วยกรณีเป็นเรื่องเกี่ยวกับการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ เมื่อศาลฎีกาเห็นสมควรลดค่าสินไหมทดแทนที่จำเลยที่ 3 ที่ 4 จะพึงชดใช้แก่โจทก์ลง แม้จำเลยที่ 1 จะมิได้ฎีกาศาลฎีกาย่อมพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 1 ด้วย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 เป็นเจ้าของรถยนต์เลขทะเบียน ก.ท.ก. 0638 โจทก์ที่ 2 เป็นภรรยาผู้ตาย จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 จำเลยที่ 2 ที่ 3 เป็นเจ้าของรถยนต์เลขทะเบียน อ.ต.00828 และเข้ามาดำเนินกิจการร่วมกันในการขนส่งสินค้า จำเลยที่ 4 ประกอบกิจการขนส่ง ซึ่งรถยนต์ อ.ต.00828 ได้รับอนุญาตทำการขนส่งในนามของห้างจำเลยที่ 4 จำเลยที่ 5 ประกอบกิจการขนส่งสินค้า และได้ใช้รถยนต์บรรทุกหมายเลข อ.ต.00828 ขนส่งสินค้า จำเลยที่ 1 ขับรถคันดังกล่าวไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ด้วยความประมาทชนกับรถยนต์ของโจทก์ สามีโจทก์ที่ 2 ถึงแก่ความตาย และรถของโจทก์เสียหายยับเยิน ขอให้จำเลยทั้งห้า ร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสอง
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 3 ให้การว่า ได้ขายรถยนต์คันเกิดเหตุให้จำเลยที่ 2 ไปแล้วก่อนเกิดเหตุ จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 แต่ผู้เดียว โจทก์เรียกค่าเสียหายสูงเกินควร
จำเลยที่ 4 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ไม่เคยนำรถคันเกิดเหตุมารับส่งสินค้าในนามหรือร่วมกับจำเลยที่ 4 จำเลยที่ 1 ไม่ใช่ลูกจ้างและขับรถในธุรกิจของจำเลยที่ 4
จำเลยที่ 5 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่ใช่ลูกจ้างของจำเลยที่ 5 การที่รถชนกันเป็นเพราะโจทก์ที่ 1 มีส่วนประมาท ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องสูงเกินไป
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1, 3, 4, 5 ร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์ที่ 1 รวมเป็นเงิน 50,000 บาท โจทก์ที่ 2 92,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
โจทก์ที่ 2 และจำเลยที่ 3, 4, 5 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1, 3, 4 ร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ที่ 2 รวม 123,597 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย ให้ยกฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 5 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 3, 4 ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 ไม่ใช่ลูกจ้างของจำเลยที่ 2 รถยนต์คันเกิดเหตุเป็นรถของจำเลยที่ 3 ห้างจำเลยที่ 4 ดำเนินกิจการขนส่งสาธารณะโดยมีรถของจำเลยที่ 3 เข้าร่วมกิจการกับห้างจำเลยที่ 4 แล้ววินิจฉัยต่อไปว่า ถือได้ว่าเป็นกิจการของห้างหุ้นส่วนจำเลยที่ 4 ด้วย ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับรถคันนี้ย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 3 ที่ 4 จำเลยที่ 3, 4 จึงต้องร่วมรับผิด และเมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าห้างจำเลยที่ 4 ยังประกอบการขนส่งสาธารณะอยู่ แม้ใบอนุญาตจะหมดอายุแล้วห้างจำเลยที่ 4 ก็ไม่พ้นความรับผิด
สำหรับค่าขาดไร้อุปการะนั้น จำเลยทั้งสองโต้เถียงว่าที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้เดือนละ 2,000 บาทเป็นเวลา 4 ปีมากเกินไป ควรให้เพียงเดือนละ800 บาท เป็นเวลา 2 ปี เพราะผู้ตายมีอายุมากกว่า 60 ปีแล้วศาลฎีกาเห็นว่าแม้ผู้ตายมีอายุ 64 ปี แต่ร่างกายก็ยังแข็งแรงและไม่เจ็บป่วย ยังสามารถประกอบการอาชีพได้ ดังนี้ ถ้าหากผู้ตายไม่ประสบอุบัติเหตุถึงแก่ความตายเสียก่อน ย่อมเป็นที่คาดหมายได้ว่าผู้ตายจะมีชีวิตต่อไปอีกมากกว่า 2 ปี โจทก์ที่ 2 ไม่มีรายได้อย่างอื่นนอกจากเงินเดือนของผู้ตายซึ่งมอบให้ใช้จ่ายเดือนละ 5,000 บาท เมื่อคำนึงถึงพฤติการณ์ที่ผู้ตายอุปการะมาแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์กำหนดค่าขาดไร้อุปการะเดือนละ 2,000 บาท เป็นเวลา 4 ปี เป็นเงิน 96,000 บาทเหมาะสมแล้ว
อนึ่ง โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ว่าทำละเมิดและฟ้องจำเลยที่ 3 ที่ 4 ในฐานะนายจ้างให้ร่วมรับผิดด้วย กรณีเป็นเรื่องเกี่ยวกับการชำระหนี้ยังไม่อาจแบ่งแยกได้ เมื่อศาลฎีกาเห็นสมควรลดค่าสินไหมทดทแทนที่จำเลยที่ 3 ที่ 4 จะพึงชดใช้แก่โจทก์ลง แม้จำเลยที่ 1 จะมิได้ฎีกาก็เห็นสมควรพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 1 ด้วย
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 ร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 40,500 บาท กับดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่งต่อปีจากต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จ นอกจากที่แก้นี้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์