คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3145/2545

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่โจทก์และจำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกันโดยจำเลยชำระเงินบางส่วนแล้วเข้าทำนาในที่ดิน ครั้นถึงกำหนดโอนที่ดินจำเลยยังชำระราคาที่ดินแก่โจทก์ไม่ครบตามจำนวนที่ระบุในสัญญา จำเลยจึงตกเป็นผู้ผิดนัด โจทก์จึงมีสิทธิขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทและเรียกค่าเสียหายได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยพร้อมบริวารออกจากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๑๐๔๒ ของโจทก์ ห้ามจำเลยเกี่ยวข้องกับที่ดินดังกล่าว ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายจำนวน ๓,๗๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และใช้ค่าเสียหายเดือนละ ๑,๘๕๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะออกจากที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยเพราะจำเลยไม่ได้ผิดสัญญา โจทก์ตกลงขายที่ดินให้แก่จำเลย ๓๗ ไร่ ราคาไร่ละ ๗,๐๐๐ บาท รวมเป็นค่าที่ดิน ๒๕๙,๐๐๐ บาท จำเลยชำระเงินให้แก่โจทก์รวมทั้งสิ้น ๒๕๓,๘๐๐ บาท จำเลยคงค้างชำระค่าที่ดินโจทก์เพียง ๕,๒๐๐ บาท โจทก์ทวงถาม จำเลยอ้างว่าค้างชำระจำนวนดังกล่าว และจะชำระให้โจทก์ แต่โจทก์ไม่ยอมรับอ้างว่าค้างอยู่อีกหลายหมื่นบาท ต่อมาโจทก์ไปแจ้งเจ้าพนักงานที่ดินอำเภอซึ่งได้เรียกจำเลยไปตกลงกัน ขณะนั้นจำเลยยังหาหลักฐานการชำระเงินไม่พบ โจทก์อ้างว่าจำเลยผิดนัดและจะเรียกราคาที่ดินเพิ่ม เจ้าพนักงานที่ดินอำเภอแจ้งว่าเมื่อไม่มีหลักฐานก็ต้องยอมชำระเงินตามที่โจทก์อ้าง จำเลยเห็นว่าได้ชำระเงินไปมากแล้วจึงยอมตามที่แนะนำแต่ทำไปโดยไม่สมัครใจ ต่อมาจำเลยค้นหาหลักฐานที่บันทึกด้านหลังสัญญาซื้อขายพบจึงแจ้งโจทก์ขอให้รับเงินที่ค้างอยู่ โจทก์ไม่ยอมอ้างว่าได้ยินยอมกันแล้ว จำเลยเห็นว่าไม่เป็นธรรมจึงไม่ชำระเงินให้โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกจากที่ดินของโจทก์ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๑๐๔๒ ตำบลท่าฉนวน อำเภอกงไกรลาศ จังหวัดสุโขทัย ห้ามจำเลยเกี่ยวข้องกับที่ดินดังกล่าว ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายจำนวน ๓,๗๐๐ บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของจำนวนเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้อง (วันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๔๐) จนกว่าจะชำระเสร็จ และใช้ค่าเสียหายเดือนละ ๑,๘๕๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะออกจากที่ดินของโจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ ๓,๐๐๐ บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๖ พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ ๒,๐๐๐ บาท แทนโจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า… พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติตามคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองโดยคู่ความมิได้ฎีกาโต้แย้งว่า โจทก์เป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามสำเนาหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๑๐๔๒ เมื่อวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๓๖ โจทก์และจำเลยได้ทำหนังสือสัญญาการซื้อขาย ตามเอกสารหมาย ล.๑ โดยโจทก์ตกลงขายที่ดินดังกล่าวเนื้อที่ ๔๐ ไร่ ให้แก่จำเลยในราคา ๒๘๐,๐๐๐ บาท ต่อมาปี ๒๕๓๙ เจ้าพนักงานที่ดินได้รังวัดที่ดินที่โจทก์ขายให้แก่จำเลยดังกล่าวใหม่ได้เนื้อที่ ๓๗ ไร่ ครั้นวันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๓๙ โจทก์และจำเลยจึงได้ทำหนังสือสัญญาการซื้อขายกันใหม่ โดยระบุเนื้อที่ดินพิพาทที่ซื้อขายจำนวน ๓๗ ไร่ ราคาไร่ละ ๗,๐๐๐ บาท เป็นเงิน ๒๕๙,๐๐๐ บาท คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยผิดสัญญาไม่ชำระราคาที่ดินพิพาทส่วนที่ค้างตามสัญญาให้แก่โจทก์อันเป็นเหตุให้โจทก์มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทหรือไม่… เห็นว่าตามสัญญาจะซื้อจะขาย เมื่อจำเลยยังชำระเงินแก่โจทก์ไม่ครบตามที่ระบุในสัญญา จำเลยจึงตกเป็นผู้ผิดนัด โจทก์มีสิทธิขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทและเรียกค่าเสียหายได้ คำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share