แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ขอให้นำพยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบไว้ในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง ซึ่งมิได้กระทำต่อหน้าจำเลยมาวินิจฉัยคดี เป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 172 ฉะนั้น เมื่อโจทก์แถลงไม่ติดใจสืบพยาน ก็เท่ากับโจทก์ไม่มีพยานมาสืบพิสูจน์ให้เห็นว่า จำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้อง คดีจึงลงโทษจำเลยไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องจำเลยในข้อหาฐานพยายามกรรโชก และทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๐, ๘๓, ๓๐๙, ๓๓๗
จำเลยที่ ๑ ให้การปฏิเสธ ชั้นพิจารณาโจทก์แถลงไม่ติดใจดำเนินคดีกับจำเลยที่ ๒ ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะตัวจำเลยที่ ๒
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ (เฉพาะข้อหาฐานกรรโชก)
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ ๑ ฐานพยายามกรรโชก ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาเฉพาะข้อกฎหมายที่ว่า กระบวนพิจารณาสืบพยานโดยถือเอาคำพยานชั้นไต่สวนมูลฟ้องมาวินิจฉัยนั้น จะชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๗๒ การพิจารณาและสืบพยานในศาลให้ทำโดยเปิดเผยต่อหน้าจำเลย เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น เช่นกรณีที่บัญญัติไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๗๒ ทวิ การที่โจทก์ขอให้นำพยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบไว้ในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง ซึ่งมิได้กระทำต่อหน้าจำเลยมาวินิจฉัยคดีจึงขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๗๒ ดังกล่าว เมื่อโจทก์แถลงไม่ติดใจสืบพยานก็เท่ากับโจทก์ไม่มีพยานมาสืบพิสูจน์ให้เห็นว่า จำเลยได้กระทำผิดตามฟ้อง คดีจึงลงโทษจำเลยไม่ได้ ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้ว
พิพากษายืน