คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5311/2544

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

หนี้จำนองทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยที่เจ้าหนี้บุริมสิทธิจำนองยื่นขอรับชำระหนี้ต่อศาลชั้นต้นมีจำนวนถึง 13,950,000 บาท แต่เงินสุทธิที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองมีเพียง 7,601,977 บาท การที่เจ้าหนี้บุริมสิทธิจำนองแถลงต่อศาลชั้นต้นว่า เมื่อได้รับชำระหนี้จากการขายทอดตลาดทรัพย์สินในคดีนี้ ซึ่งเป็นเงินกว่า 7,000,000 บาท แล้ว ก็ไม่ติดใจที่จะว่ากล่าวเรียกหนี้สินประการอื่นใดจากผู้ร้องสอดทั้งสองอีกต่อไป ย่อมหมายถึง เจ้าหนี้บุริมสิทธิจำนองตกลงรับชำระหนี้เพียงเงินจำนวนสุทธิทั้งหมดที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์ดังกล่าวเท่านั้น ส่วนเงินค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีแก่โจทก์ ตามที่ปรากฏในบัญชีรับจ่ายเงินในคดีในสำนวนเป็นเงินของเจ้าหนี้บุริมสิทธิจำนองที่เจ้าพนักงานบังคับคดีคิดหักไว้เพื่อจ่ายให้แก่โจทก์ ตามที่เจ้าหนี้บุริมสิทธิจำนองได้ตกลงกับโจทก์ไว้ เงินจำนวนดังกล่าวหาใช่เงินที่เหลือจากการขายทอดตลาดหรือเหลือจากการชำระหนี้จำนองให้แก่เจ้าหนี้บุริมสิทธิจำนองซึ่งจะต้องนำมาเฉลี่ยให้แก่โจทก์และผู้ร้องไม่ เมื่อฟังได้ว่าเจ้าหนี้บุริมสิทธิจำนองได้รับเงินจากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองไปหมดแล้ว ย่อมไม่เหลือทรัพย์ที่ผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้บุริมสิทธิสามัญตาม ป.พ.พ. มาตรา 253 (3) จะเข้ามามีส่วนเฉลี่ยได้อีก การพิจารณาคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ของผู้ร้องต่อไป จึงไม่เป็นประโยชน์แก่คดี

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้ผู้ร้องสอดทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 2,400,000 บาท แก่โจทก์ทั้งห้า ต่อมาผู้ร้องสองทั้งสองผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าว โจทก์ทั้งห้านำ เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดิน พร้อมสิ่งปลูกสร้างของผู้ร้องสอดที่ 2 เพื่อขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้แก่โจทก์ทั้งห้า
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเข้าเฉลี่ยในทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดไว้ดังกล่าว
โจทก์ทั้งห้าและผู้ร้องสอดที่ 2 ยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ขายทอดตลาดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของ ผู้ร้องสอดที่ 2 และมีเงินคงเหลือหลังจากหักค่าใช้จ่ายในการบังคับคดีแล้วจำนวน 7,601,977 บาท นายธีระพร และ นางเยาวลักษณ์ ซึ่งเป็นผู้รับจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของผู้ร้องสอดที่ 2 ดังกล่าว ได้ยื่นคำร้องขอให้นำเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างชำระหนี้ต้นเงินและดอกเบี้ยจำนวน 13,950,000 บาท แก่บุคคลทั้งสองก่อนเจ้าหนี้รายอื่น โจทก์ทั้งห้าและผู้ร้องสอดทั้งสองคัดค้าน แต่บุคคลทั้งสองสามารถทำความตกลงกับโจทก์ทั้งห้าและผู้ร้องสอดทั้งสองได้ ศาลชั้นต้นจึงอนุญาตให้นายธีระพรและนางเยาวลักษณ์ได้รับชำระหนี้จำนองก่อนเจ้าหนี้อื่น และมีคำสั่งเกี่ยวกับคำร้องของผู้ร้องว่า คดีนี้ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ที่นายธีระพรและนางเยาวลักษณ์ขอรับชำระหนี้จำนองไว้ นายธีระพรและนางเยาวลักษณ์ได้รับชำระหนี้จำนองไปจนหมดสิ้นแล้ว ไม่เหลือทรัพย์ที่ผู้ร้องจะเข้ามา มีส่วนเฉลี่ยอีก การพิจารณาคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ของผู้ร้องจึงไม่เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาอีกต่อไป จึงให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า หนี้จำนองทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยที่นายธีระพรและนางเยาวลักษณ์ยื่นขอรับชำระหนี้ต่อ ศาลชั้นต้นมีจำนวนถึง 13,950,000 บาท แต่เงินสุทธิที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองมีเพียง 7,601,977 บาท การที่บุคคลทั้งสองแถลงต่อศาลชั้นต้นว่า เมื่อได้รับชำระหนี้จากการขายทอดตลาดทรัพย์สินในคดีนี้ ซึ่งเป็นเงินกว่า 7,000,000 บาท แล้ว ก็ไม่ติดใจที่จะว่ากล่าวเรียกหนี้สินประการอื่นใดจากผู้ร้องสอดทั้งสองอีกต่อไปนั้น ย่อมหมายถึง นายธีระพรและนางเยาวลักษณ์ตกลงรับชำระหนี้เพียงเงินจำนวนสุทธิทั้งหมดที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์ดังกล่าวเท่านั้น ส่วนการที่บุคคลทั้งสองจะมอบเงินให้เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีแก่โจทก์ทั้งห้าเป็นเงิน 1,101,977 บาท นั้น ตามที่ปรากฏในบัญชีรับจ่ายเงินในคดีในสำนวนก็เป็นเงินของบุคคลทั้งสองที่เจ้าพนักงานบังคับคดีคิดหักไว้เพื่อจ่าย ให้แก่โจทก์ทั้งห้า ตามที่บุคคลทั้งสองได้ตกลงกับโจทก์ทั้งห้าไว้ เงินจำนวนดังกล่าวจึงหาใช่เงินที่เหลือจากการ ขายทอดตลาดหรือเหลือจากการชำระหนี้จำนองให้แก่นายธีระพรและนางเยาวลักษณ์ซึ่งจะต้องนำมาเฉลี่ยให้ แก่โจทก์ทั้งห้าและผู้ร้องไม่ เมื่อฟังได้ว่านายธีระพรและนางเยาวลักษณ์เจ้าหนี้บุริมสิทธิจำนองได้รับเงินจาก การขายทอดตลาดทรัพย์จำนองไปหมดแล้ว ย่อมไม่เหลือทรัพย์ที่ผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้บุริมสิทธิสามัญ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 253 (3) จะเข้ามามีส่วนเฉลี่ยได้อีก การพิจารณาคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ของผู้ร้องต่อไป จึงไม่เป็นประโยชน์แก่คดี
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share