คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2074/2499

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ตายถือปืนวิ่งไล่ติดตามจำเลยมาในลักษณะอาการซึ่งจำเลยเข้าใจว่าเป็นคนร้าย จนได้ร้องบอกกล่าวว่าคนร้ายไล่ยิงตนเช่นนี้ ย่อมทำให้จำเลยคิดเห็นไปว่าผู้ตายมีเจตนาจะฆ่าจำเลยมาแต่แรกแล้ว เมื่อจำเลยหนีหลบไปแล้วกลับมาเจอผู้ตายเข้าอีกในสถานที่คับขัน ห่างกันเพียงประมาณ 7 วา ขณะนั้นผู้ตายมีปืนติดตัวอยู่ถึง 2 กระบอกถ้าจะวิ่งก็อาจจะถูกผู้ตายยิงตายในเวลาฉุกละหุกกระทันหันเช่นนี้จำเลยได้ตัดสินใจยิงไปก่อนที่ปืนของผู้ตายจะลั่นมาถูกจำเลยจะตำหนิว่าจำเลยด่วนตัดสินใจยิงผู้ตายไปก่อนน่าจะไม่ถูกต้อง ถ้าผู้ใดตกอยู่ในลักษณะการคับขันอย่างจำเลยและคิดว่าผู้ตายเป็นคนร้ายจะยิงจำเลยทันทีทันใดโดยจำเลยไม่มีทางหลบหนีดังคดีนี้แล้ว การที่จำเลยตัดสินใจยิงผู้ตายเสียก่อนเป็นการกระทำเพื่อป้องกันชีวิตของจำเลยพอสมควรแก่เหตุเพื่อให้พ้นภยันตรายซึ่งกำลังเผชิญหน้าจำเลยอยู่ในขณะนั้น จะมัวรอให้ผู้ตายยกปืนขึ้นจ้องจะยิงจำเลยเสียก่อนแล้วจึงยิงโต้ตอบ อาจไม่ทันได้ป้องกันชีวิตของตนได้

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาและมีอาวุธปืนไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายอาญา มาตรา 249 พระราชบัญญัติอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 และริบปลอกกระสุนปืนของกลางที่จำเลยใช้ยิง

จำเลยให้การต่อสู้ภาคเสธว่ายิงผู้ตายโดยเข้าใจผิดว่าผู้ตายเป็นคนร้ายมากระทำการโจรกรรมไม่ทราบว่าเป็นตำรวจเพื่อป้องกันตัวและทรัพย์พอสมควรแก่เหตุ ในข้อหาว่ามีอาวุธปืนไม่ได้รับอนุญาตรับตามข้อหา

ศาลชั้นต้นฟังว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุโดยมีความจำเป็นเพื่อป้องกันภยันตรายอันจะเกิดแก่ชีวิตของตนควรได้รับยกเว้นโทษตามกฎหมายอาญา มาตรา 50 พิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อหาฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา คงลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 ปรับ 200 บาท ลดรับสารภาพกึ่งหนึ่งตามมาตรา 59 คงปรับ 100 บาท ถ้าไม่เสียจัดการตามมาตรา 18 ปลอกกระสุนปืนของกลางริบ

โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา ศาลอุทธรณ์ฟังว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุ พิพากษาแก้ว่าจำเลยผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา 249 ประกอบด้วย มาตรา 53 จำคุกจำเลย 3 ปี เกิดเหตุแล้วจำเลยรีบแจ้งแก่กำนันผู้ใหญ่บ้าน และให้การเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดให้กึ่งหนึ่งตามมาตรา 59 คงจำคุก 1 ปี 6 เดือน นอกนั้นให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาได้ฟังทนายจำเลยแถลงการณ์ด้วยวาจาและตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยฟังต้องกันมาว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยิงพลตำรวจสำเภาถึงแก่ความตายเพื่อป้องกันตัวความข้อนี้เป็นอันยุติไม่มีปัญหามาสู่ศาลฎีกา ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยคงมีว่า การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุหรือไม่

ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่าการที่ผู้ตายถือปืนวิ่งไล่ติดตามจำเลยมาในลักษณะอาการซึ่งจำเลยเข้าใจว่าเป็นคนร้าย จนได้ร้องบอกกล่าวว่าคนร้ายไล่ยิงตนเช่นนี้ย่อมทำให้จำเลยคิดเห็นไปว่าผู้ตายมีเจตนาจะฆ่าจำเลยมาแต่แรกแล้วเมื่อหลบหนีไปแล้วกลับมาเจอผู้ตายเข้าอีกในสถานที่คับขันห่างกันเพียงประมาณ 7 วา ขณะนั้นผู้ตายก็มีปืนติดตัวอยู่ถึง 2 กระบอก ถ้าจะวิ่งหนีก็อาจจะถูกผู้ตายยิงตายในเวลาฉุกละหุกกระทันหันเช่นนี้ จำเลยได้ตัดสินใจยิงไปก่อนที่ปืนของผู้ตายจะลั่นมาถูกจำเลย จะตำหนิว่าจำเลยตัดสินใจยิงผู้ตายไปก่อนน่าจะไม่ถูกต้อง ถ้าผู้ใดตกอยู่ในลักษณะการคับขันอย่างจำเลยและคิดว่าผู้ตายเป็นคนร้ายจะยิงจำเลยทันทีทันใด โดยจำเลยไม่มีทางหลบหนีดังเหตุการณ์ที่ปรากฏในคดีนี้สมควรจะทำอย่างไร ศาลฎีกาเห็นว่าการที่จำเลยได้ตัดสินใจยิงผู้ตายเสียก่อนนั้นเป็นการกระทำเพื่อป้องกันชีวิตของจำเลยพอสมควรแก่เหตุเพื่อให้พ้นภยันตรายซึ่งกำลังเผชิญหน้าจำเลยอยู่ในขณะนั้น จะมัวรอให้ผู้ตายยกปืนขึ้นจ้องจะยิงจำเลยเสียก่อนแล้วจึงยิงตอบโต้อาจไม่ทันได้ป้องกันชีวิตของตนก็ได้ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาเสียนั้นชอบแล้วฎีกาจำเลยฟังขึ้น

พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share