คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8640/2552

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

เมื่อโจทกและจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า ถ้าจำเลยชำระเงินครบถ้วนแล้ว โจทก์จะดำเนินการถอนฟ้องคดียักยอกที่ศาลชั้นต้นที่โจทก์ได้ฟ้องจำเลยไว้ ทั้งโจทก์ไม่ติดใจที่จะดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและทางอาญากับจำเลยอันเป็นคดีที่เกี่ยวพันกับบริษัท ป. อีกต่อไป จึงเป็นการยอมความโดยมีเงื่อนไขที่ให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์เสียก่อน โจทก์จึงจะไม่ติดใจดำเนินคดีแก่จำเลย การยอมความในลักษณะเช่นนี้จะมีผลให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับไปต่อเมื่อจำเลยชดใช้เงินให้แก่โจทก์ครบตามจำนวนแล้ว เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยนำเงินมาวางที่ศาลเพื่อชำระหนี้ให้แก่โจทก์ครบถ้วนตามสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว โจทก์มีความผูกพันที่จะต้องถอนฟ้องคดียักยอกที่ศาลชั้นต้นให้แก่จำเลยตามข้อตกลง กรณีจึงเป็นผลเป็นการยอมความในคดีอาญา สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ย่อมระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (2)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคแรก จำคุก 2 เดือน ให้กักขังจำเลย 2 เดือน แทนโทษจำคุกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 23
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2549 ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 9 โจทก์และจำเลยตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันที่ศาลจังหวัดสงขลาในคดีที่โจทก์ฟ้องจำเลยคดีนี้เป็นจำเลยที่ 4 กับพวก ให้ชำระเงินค่าหุ้นที่จำเลยยักยอกไปว่า “…ข้อ 1.3 จำเลยที่ 4 ตกลงชำระเงินให้แก่โจทก์จำนวน 100,000 บาท (หนึ่งแสนบาทถ้วน) โดยตกลงผ่อนชำระให้เป็นรายเดือน เดือนละไม่ต่ำกว่า 2,000 บาท เริ่มชำระงวดแรกในวันที่ 15 มิถุนายน 2549 และจะชำระงวดต่อไปภายในวันที่ 15 ของทุกๆเดือน โดยจะชำระให้เสร็จภายในระยะเวลา 2 ปี… ข้อ 2 เมื่อจำเลยที่ 4 ชำระเงินตามข้อ 1.3 ครบถ้วนแล้ว โจทก์จะดำเนินการถอนฟ้องคดียักยอกที่ศาลชั้นต้นที่โจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่ 4 ไว้ ทั้งโจทก์ไม่ติดใจที่จะดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและทางอาญากับจำเลยที่ 4 อันเป็นคดีที่เกี่ยวพันกับบริษัทปิวทิพย์อุตสาหกรรม จำกัดอีกต่อไป…” ซึ่งศาลจังหวัดสงขลาได้มีคำพิพากษาไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นแล้ว ต่อมาจำเลยนำเงินมาวางที่ศาลจังหวัดสงขลาเพื่อชำระหนี้ให้แก่โจทก์ครบจำนวน 100,000 บาท ตามคำพิพากษาตามยอมแล้วเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2551 สิทธินำคดีมาฟ้องของโจทก์ย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (2) ศาลฎีกาตรวจสำนวนคดีแพ่งหมายเลขดำที่1441/2547 หมายเลขแดงที่ 79312549 ของศาลจังหวัดสงขลาแล้ว ปรากฏข้อเท็จจริงตามฎีกาของจำเลยทั้งปรากฏว่าโจทก์ได้มาขอรับเงินที่จำเลยนำมาวางศาลตามสัญญาประนีประนอมยอมความไปเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2542 เห็นว่า เมื่อโจทก์และจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า ถ้าจำเลยชำระเงินครบถ้วนแล้ว โจทก์จะดำเนินการถอนฟ้องคดียักยอกที่ศาลชั้นต้นที่โจทก์ได้ฟ้องจำเลยไว้ ทั้งโจทก์ไม่ติดใจที่จะดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและทางอาญากับจำเลยอันเป็นคดีที่เกี่ยวพันกับบริษัทปิวทิพย์อุตสาหกรรม จำกัด อีกต่อไป จึงเป็นการยอมความโดยมีเงื่อนไขที่ให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์เสียก่อน โจทก์จึงจะไม่ติดใจดำเนินคดีแก่จำเลย การยอมความในลักษณะเช่นนี้จะมีผลให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับไปต่อเมื่อจำเลยชดใช้เงินให้แก่โจทก์ครบตามจำนวนแล้ว เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยนำเงินมาวางที่ศาลจังหวัดสงขลาเพื่อชำระหนี้ให้แก่โจทก์ครบถ้วนตามสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว โจทก์มีความผูกพันที่จะต้องถอนฟ้องคดียักยอก ที่ศาลชั้นต้นให้แก่จำเลยตามข้อตกลง กรณีจึงมีผลเป็นการยอมความในคดีอาญา สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (2)”
จึงมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ

Share