แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้ประจักษ์พยานโจทก์ที่เห็นเหตุการณ์ในคดีนี้ คือ นาย ณ. จะเบิกความว่า จำนาย ส. ไม่ได้แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่า นาย ณ. ได้เคยให้การต่อพนักงานสอบสวน และได้เบิกความเป็นพยานโจทก์ในคดีหมายเลขดำที่ 9326/2526 (คดีหมายเลขแดงที่ 1425/2526) ของศาลอาญา ซึ่งคดีดังกล่าวเป็นคดีที่พนักงานอัยการฟ้องนาย ส. กล่าวหาว่าร่วมกับพวกที่หลบหนีใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายและเป็นคดีที่มีมูลคดีเรื่องเดียวกันกับคดีนี้ โดยนาย ณ. ได้เบิกความในคดีดังกล่าวว่า นาย ส. ได้ใช้อาวุธปืนยิงไปถูกผู้ตาย แม้คำเบิกความของนาย ณ. ดังกล่าวจะมิใช่ถ้อยคำที่ได้เบิกความไว้ในคดีนี้ก็ตาม แต่นาย ณ. ได้เบิกความยืนยันไว้ในคดีนี้โดยรับว่าได้ให้ถ้อยคำถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อพนักงานสอบสวนตามบันทึกคำให้การ และได้เบิกความต่อศาลถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคดีดังกล่าวจริง ดังนั้น คำเบิกความของนาย ณ. ในคดี หมายเลขดำที่ 9326/2526 (คดีหมายเลขแดงที่ 1425/2526) ของศาลอาญา จึงสามารถรับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีนี้ได้เพราะเป็นพยานหลักฐานที่โจทก์อ้างและนำสืบไว้โดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 91, 288, 371 พ.ร.บ. อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 288 จำคุก 15 ปี ข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ลดมาตราส่วนโทษให้ 1 ใน 3 ตาม ป.อ. มาตรา 76 จำคุก 10 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังยุติว่า ขณะที่เกิดเหตุคดีนี้จำเลยใช้ชื่อนายสุทธิโชค จำเลยเพิ่งจะเปลี่ยนชื่อเป็นนายเชาวรัตน์ เมื่อปี 2533 ตามสำเนาหนังสืออนุญาตให้เปลี่ยนชื่อเอกสารหมาย จ.3 และขณะเกิดเหตุจำเลยเป็นนักเรียนโรงเรียนเทคนิคไทยสุริยะ เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2526 ซึ่งเป็นวันเกิดเหตุเวลาประมาณ 14 นาฬิกา นายสนอง ผู้ตายซึ่งเป็นนักเรียนโรงเรียนอำนวยศิลป์ ถนนศรีอยุธยา เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร กับเพื่อนนักเรียนโรงเรียนเดียวกันอีกหลายคนได้ขึ้นรถยนต์โดยสารประจำทาง สาย 17 จากฝั่งตรงข้ามโรงเรียน ต่อมาเมื่อรถยนต์โดยสารแล่นไปจอดที่ป้ายหยุดรับผู้โดยสารที่บริเวณหน้าบริษัทอายิโนะโมะโต๊ะ จำกัด ซึ่งเป็นที่เกิดเหตุ กลุ่มนักเรียนโรงเรียนอำนวยศิลป์ที่โดยสารมาในรถยนต์โดยสารประจำทางได้วิวาทชกต่อยกับกลุ่มนักเรียนโรงเรียนเทคนิคไทยสุริยะซึ่งอยู่ที่บริเวณที่หยุดรถดังกล่าว และนักเรียนโรงเรียนเทคนิคไทยสุริยะคนหนึ่งได้ใช้อาวุธปืนยิงไปทางกลุ่มนักเรียนโรงเรียนอำนวยศิลป์เป็นเหตุให้กระสุนปืนถูกผู้ตายจนถึงแก่ความตาย คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนยิงไปถูกผู้ตายจนถึงแก่ความตายหรือไม่ เห็นว่า แม้ประจักษ์พยานโจทก์ที่เห็นเหตุการณ์ในคดีนี้ คือ นายณัฐ จะเบิกความว่า นายณัฐจำนายสุทธิโชคไม่ได้ จำเลยไม่น่าจะใช่นายสุทธิโชค นายอนุวัชร์ และ นายวีระยุทธ พยานโจทก์เบิกความในทำนองเดียวกันว่า พยานทั้งสองจำไม่ได้ว่า จำเลยจะใช่คนร้ายที่ใช้อาวุธปืนยิงถูกผู้ตายหรือไม่ เนื่องจากเหตุการณ์ผ่านมานานถึงสิบกว่าปีแล้ว กับนายศักดา พยานโจทก์ได้เบิกความว่า พยานจำหน้า คนร้ายที่ใช้อาวุธปืนยิงถูกผู้ตายไม่ได้ ก็ตาม แต่นายณัฐได้เบิกความว่าขณะเกิดเหตุนายณัฐเป็นนักเรียนของ โรงเรียนเทคนิคไทยสุริยะที่ร่วมกับเพื่อนอีกหลายคนไปยังที่เกิดเหตุ และนักเรียนโรงเรียนเทคนิคไทยสุริยะกลุ่มของนายณัฐได้เกิดเหตุทะเลาะวิวาทกับกลุ่มนักเรียนโรงเรียนอำนวยศิลป์ในที่เกิดเหตุและมีการยิงปืนในที่เกิดเหตุจริง นอกจากนี้นายณัฐยังรับว่าภายหลังจากเกิดเหตุดังกล่าว นายณัฐได้เคยให้การต่อพนักงานสอบสวนตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย จ.10 และได้เบิกความเป็นพยานโจทก์ในคดีหมายเลขดำที่ 9326/2526 (คดีหมายเลขแดงที่ 1425/2526) ของศาลอาญา เป็นความจริง ซึ่งคดีดังกล่าวเป็นคดีที่พนักงานอัยการฟ้องนายสมสกุล กล่าวหาว่าร่วมกับพวกที่หลบหนีใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายและเป็นคดีที่มีมูลคดีเรื่องเดียวกันกับคดีนี้ โดยนายณัฐได้เบิกความในคดีดังกล่าวว่า วันเกิดเหตุหลังจากสอบภาคบ่ายเสร็จแล้ว นายณัฐกับเพื่อนซึ่งมีนายสมสกุลหรืออ๋อยจำเลยในคดีดังกล่าว และนายสุทธิโชคหรือเต่ารวมอยู่ด้วย ได้ชักชวนกันไปบ้านเพื่อนชื่อนายจินดาหรือตู้ที่ซอยนานา ถนนสุขุมวิท โดยขึ้นรถยนต์โดยสารประจำทาง สาย 51 ที่หน้าโรงเรียนเทคนิคไทยสุริยะไปลงที่สี่แยกพญาไทเพื่อจะขึ้นรถยนต์โดยสารประจำทาง สาย 17 ไปยังซอยนานา ขณะที่นายณัฐกับพวกกำลังจะขึ้นรถยนต์โดยสารประจำทาง สาย 17 ที่แล่นเข้าไปหยุดรับผู้โดยสารนั้น กลุ่มเพื่อนของนายณัฐได้เกิดเหตุวิวาทกับกลุ่มนักเรียนโรงเรียนอำนวยศิลป์ ซึ่งโดยสารมาในรถยนต์โดยสารประจำทางคันดังกล่าว นายสมสกุลใช้ท่อพลาสติกยาวประมาณ 1 ฟุต ตีทำร้ายคู่ต่อสู้ กลุ่มนักเรียนโรงเรียนอำนวยศิลป์ที่ลงจากรถยนต์โดยสารประจำทางมาก่อเหตุวิวาทวิ่งหนีไปขึ้นรถยนต์โดยสารประจำทางและขณะที่รถยนต์โดยสารประจำทางดังกล่าวกำลังแล่นออกจากที่หยุดรถ นายสุทธิโชคได้ใช้อาวุธปืนยิงไปทางกลุ่มนักเรียนโรงเรียนอำนวยศิลป์ 1 นัด จากนั้นนายณัฐกับพวกวิ่งไปเรียกรถยนต์รับจ้างสาธารณะขึ้นหลบหนีไปที่บ้านนายจินดา เมื่อไปถึงบ้านนายจินดา นายสุทธิโชคเอาอาวุธปืนที่ใช้ยิงออกมามอบให้นายสมสกุล นายสมสกุลรับอาวุธปืนมาแล้วนำไปเก็บไว้ที่ใต้หมอน ในห้องนอนนายจินดา คำเบิกความของนายณัฐดังกล่าวแม้จะมิใช่ถ้อยคำที่ได้เบิกความไว้ในคดีนี้ก็ตาม แต่นายณัฐก็ได้เบิกความยืนยันไว้ในคดีนี้โดยรับว่านายณัฐได้ให้ถ้อยคำถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อพนักงานสอบสวนตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย จ.10 และได้เบิกความต่อศาลถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคดีดังกล่าวจริง ฉะนั้น คำเบิกความของนายณัฐในคดีหมายเลขดำที่ 9326/2526 (คดีหมายเลขแดงที่ 1425/2526) ของศาลอาญา จึงสามารถรับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีนี้ได้เพราะเป็นพยานหลักฐานที่โจทก์อ้างและนำสืบไว้โดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว คำเบิกความของนายณัฐที่ยืนยันว่านายสุทธิโชคเป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนยิงไปถูกผู้ตายนั้น สอดคล้องกับคำเบิกความของว่าที่พันตำรวจเอกสำเริง ซึ่งได้เบิกความเป็นพยานโจทก์ว่า ขณะเกิดเหตุพยานรับราชการตำแหน่งรองสารวัตรสืบสวนประจำสถานีตำรวจ นครบาลพญาไท ยศร้อยตำรวจโท หลังจากเกิดเหตุคดีนี้พยานได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาคือ พันตำรวจโทสมชาย (ยศในขณะเกิดเหตุ) ให้ทำการสืบสวนหาตัวคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายจากการสืบสวนทราบว่าคนร้ายเป็นนักเรียนโรงเรียนเทคนิคไทยสุริยะกลุ่มของนายสมสกุล พยานจึงได้ทำการจับกุมนายสมสกุล จากการสอบถามนายสมสกุล นายสมสกุลยอมรับว่าร่วมอยู่ในเหตุการณ์จริง แต่นายสมสกุลเพียงแต่ใช้ท่อพลาสติกทำร้ายคู่ต่อสู้เท่านั้นไม่ได้ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย คนร้ายที่ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย คือ นายสุทธิโชค และจากการสืบสวนพยานคนอื่น ๆ ก็ได้ความตรงกันว่า คนร้ายที่ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายคือนายสุทธิโชคหรือเต่า ซึ่งขณะที่เบิกความพยานจำนามสกุลไม่ได้แล้ว จากนั้นพยานได้เสนอผลการสอบสวนต่อผู้บังคับบัญชาและได้มีการออกหมายจับนายสุทธิโชคหรือเต่า หรือโจ ตามที่ปรากฏในสำเนาหมายจับเอกสารหมาย จ.4 และเหตุที่เจ้าพนักงานตำรวจออกหมายจับนายสุทธิโชคอันเป็นสาเหตุที่มีการดำเนินคดีแก่จำเลยนั้น ก็สอดคล้องต่อเนื่องกับคำเบิกความของนายอนุวัชร์และนายวีระยุทธอีกด้วย โดยพยานทั้งสองต่างยืนยันว่า ขณะเกิดเหตุพยานทั้งสองเห็นหน้าคนร้ายและจำคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายได้ โดยพยานทั้งสองได้ให้การถึงตำหนิ รูปพรรณของคนร้ายต่อพนักงานสอบสวนตรงกันตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย จ.2 และ จ.11 ทั้งนายวีระยุทธยังได้เบิกความว่า ในชั้นสอบสวนเจ้าพนักงานตำรวจได้เคยนำภาพถ่ายของนายสุทธิโชคที่ปราฏในภาพถ่ายสำเนาทะเบียนบ้านของนายสุทธิโชคเอกสารหมาย จ.14 ให้นายวีระยุทธและนายอนุวัชร์ดูเพื่อยืนยันตัวคนร้ายอีกด้วย ดังนั้น การที่เจ้าพนักงานตำรวจกล่าวหาว่านายสุทธิโชคเป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายและออกหมายจับไว้ตามสำเนา หมายจับเอกสารหมาย จ. 4 นั้น ก็เนื่องมาจากเจ้าพนักงานตำรวจได้สืบสวนและสอบสวนประจักษ์พยานและ พยานหลักฐานอื่นจนชัดแจ้งว่านายสุทธิโชคเป็นคนร้ายนั่นเอง นอกจากนี้นายณัฐยังเป็นเพื่อนนักเรียนโรงเรียน เดียวกันกับนายสุทธิโชคและอยู่ในกลุ่มเดียวกัน นายณัฐได้เบิกความถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นไปตามลำดับและตรงกับคำให้การในชั้นสอบสวนของตนเอง อีกทั้งขณะที่นายณัฐเบิกความในคดีดังกล่าว เจ้าพนักงานตำรวจก็ยังไม่สามารถจับกุมนายสุทธิโชคได้ จึงเชื่อว่านายณัฐได้เบิกความไปตามความเป็นจริงมิได้มีเจตนาที่จะช่วยเหลือหรือปรักปรำใส่ร้ายนายสุทธิโชค พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักมั่นคงรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า นายสุทธิโชคหรือเต่า เป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายจริง และข้อเท็จจริงก็รับฟังได้ว่าขณะเกิดเหตุคดีนี้จำเลยใช้ชื่อนายสุทธิโชค จำเลยเพิ่งจะเปลี่ยนชื่อเป็นนายเชาวรัตน์ เมื่อปี 2533 นอกจากนี้ก็ปรากฏว่าในชั้นจับกุมจำเลยก็ให้การรับสารภาพว่า จำเลยได้ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายจริงตามบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ. 5 ฉะนั้น แม้นายณัฐกับนายอนุวัชร์และนายวีระยุทธจะไม่ชี้ตัวยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้ายก็ตามแต่ข้อเท็จจริงก็รับฟังได้ว่า นายสุทธิโชคที่เป็นคนร้าย ก็คือจำเลย ส่วนสาเหตุที่นายอนุวัชร์และนายวีระยุทธไม่ชี้ตัวจำเลยนั้น ก็น่าเชื่อว่าพยานทั้งสองไม่เคยรู้จักกับจำเลยมาก่อนเพิ่งจะเคยเห็นจำเลยในขณะเกิดเหตุเท่านั้น พยานทั้งสองมาเบิกความเป็นพยานในคดีนี้ภายหลังจากเกิดเหตุเป็น เวลานานประมาณ 14 ปี และขณะเกิดเหตุจำเลยมีอายุเพียง 18 ปีเศษเท่านั้น หน้าตาและรูปร่างแตกต่างจากขณะที่ พยานทั้งสองเบิกความเป็นเหตุให้พยานทั้สองไม่สามารถที่จะจดจำจำเลยได้ ส่วนนายณัฐนั้นเคยรู้จักกับจำเลยมาก่อนเกิดเหตุโดยเรียนหนังสืออยู่โรงเรียนเดียวกันและอยู่ในกลุ่มเดียวกัน แม้จะไม่เคยพบกันอีกเป็นเวลานานก็ตาม ก็เชื่อว่านายณัฐยังสามารถที่จะจดจำจำเลยได้ แต่ที่นายณัฐเบิกความว่าจำเลยไม่น่าจะใช่นายสุทธิโชคนั้น น่าเชื่อว่า นายณัฐเป็นเพื่อนกับจำเลยมาก่อนจึงไม่ยอมเบิกความยืนยันว่าจำเลยคือนายสุทธิโชค พยานหลักฐานของโจทก์มี น้ำหนักรับฟังลงโทษจำเลยในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตามฟ้องได้ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ข้อเท็จจริงตามภาพถ่ายทะเบียนบ้านเอกสารหมาย จ.14 ปรากฏว่าจำเลยเกิดเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2507 ขณะเกิดเหตุจำเลยมีอายุเพียง 18 ปีเศษ และยังเป็นนักเรียน การกระทำความผิดของจำเลยเป็นไปในลักษณะก่อเหตุด้วยความคึกคะนองขาดความยั้งคิดเนื่องจากอายุยังน้อย ที่ศาลอุทธรณ์ลดมาตราส่วนโทษให้เพียง 1 ใน 3 นั้น ยังไม่เหมาะสม ศาลฎีกาเห็นสมควรลดมาตราส่วนโทษให้แก่จำเลยใหม่
พิพากษาแก้เป็นว่า ลดมาตราส่วนให้จำเลยกึ่งหนึ่งคงจำคุก 7 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตาม คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์.