คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2281/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ข้อตกลงตามสัญญาจะซื้อจะขายเป็นเรื่องระหว่างโจทก์ทั้งสองกับจำเลยที่ 1 มีผลผูกพันเฉพาะโจทก์ทั้งสองกับจำเลยที่ 1 เท่านั้น แม้ พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 มาตรา 22 (1) บัญญัติห้ามโฆษณาข้อความที่เป็นเท็จหรือเกินความจริง หากมีการฝ่าฝืนก็เป็นเรื่องผิดต่อ พ.ร.บ. ดังกล่าว และอาจถูกห้ามมิให้กระทำการโฆษณาที่ผิดความจริงเท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่จะต้องไปว่ากล่าวกันในกรณีอื่น การโฆษณาข้อความดังกล่าวจึงหาทำให้สัญญาจะซื้อจะขายระหว่างโจทก์จำเลยขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนไม่

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองทำสัญญาจะซื้ออาคารชุดโครงการออนป้าทาวเวอร์จากจำเลยที่ ๑ แต่จำเลยทั้งสองผิดสัญญา กล่าวคือ จำเลยทั้งสองได้นำที่ดินส่วนที่จะต้องสร้างเป็นสวนพักผ่อนตามใบโฆษณาขายไปปลูกสร้างเป็นตึกแถว ๕ ชั้น รวม ๒๐ ห้อง ปิดบังห้องชุดบางส่วนของโจทก์ทั้งสอง ตลอดจนพลาซ่า (ห้างหรือตลาด) และร้านค้า นอกจากนี้จำเลยทั้งสองยังดัดแปลงพลาซ่า (ห้างหรือตลาด) เป็นห้องพักอาศัยธรรมดา เป็นเหตุให้ห้องชุดที่โจทก์ทั้งสองซื้อเสื่อมราคา เสียทัศนียภาพ การกระทำของจำเลยเป็นการโฆษณาที่เป็นเท็จหรือเกินความจริง เป็นการต้องห้ามตาม พ.ร.บ. คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๒๒ ขอให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนอาคารพาณิชย์ที่ปิดบังอาคารชุดออนป้าทาวเวอร์ เพื่อปรับให้เป็นสวนพักผ่อน และดำเนินการตกแต่งห้องที่โจทก์ทั้งสองซื้อให้อยู่ในสภาพเรียบร้อยโดยค่าใช้จ่ายของจำเลยทั้งสองเองเพื่อโอนให้แก่โจทก์ทั้งสองต่อไป หากจำเลยทั้งสองไม่ดำเนินการหรือไม่สามารถดำเนินการได้ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนเงินค่างวดต่าง ๆ ที่โจทก์ทั้งสองได้ชำระให้แก่จำเลยทั้งสอง พร้อมดอกเบี้ยและค่าเสียหายรวมเป็นเงินจำนวน ๘๓๔,๕๐๑.๓๗ บาท แก่โจทก์ทั้งสองพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี จากต้นเงิน ๔๗๔,๐๐๐ บาท และค่าเสียหายเดือนละ ๓๐,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสอง
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยทั้งสองมิได้โฆษณาเพื่อลวงขายอันเป็นการฉ้อฉลโจทก์ทั้งสอง ในการโฆษณาเพียงแต่โฆษณาขายห้องชุดในอาคารออนป้าทาวเวอร์ให้แก่บุคคลทั่วไปและตามสัญญาจะซื้อจะขายระหว่างโจทก์ทั้งสองกับจำเลยทั้งสองก็มีข้อความระบุว่า ข้อความใดในเอกสารหรือคำโฆษณาอื่นใดที่มีมาก่อนทำสัญญานี้ไม่ผูกพันผู้จะขาย คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายตกลงให้ยึดถือข้อความและเอกสารตามสัญญานี้เป็นข้อปฏิบัติต่อกันทุกประการ จำเลยทั้งสองมิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหาย และจำเลยทั้งสองมีสิทธิริบมัดจำที่โจทก์ทั้งสองวางไว้ได้ตามสัญญา ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในสัญญาจะซื้อจะขายได้ระบุไว้ชัดเจนว่า ข้อความในเอกสารหรือคำโฆษณาอื่นที่มีมาก่อนทำสัญญาย่อมไม่ผูกพันผู้จะขาย คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายตกลงให้ยึดถือข้อความและเอกสารตามสัญญาเป็นข้อปฏิบัติต่อกันทุกประการ แสดงว่าในการซื้อขายห้องชุดพิพาทระหว่างโจทก์ทั้งสองกับจำเลยที่ ๑ โจทก์ทั้งสองและจำเลยที่ ๑ ประสงค์จะผูกพันกันตามสัญญาจะซื้อจะขายเท่านั้น มิได้ประสงค์จะผูกพันกันตามใบโฆษณา การซื้อขายห้องชุดระหว่างโจทก์ทั้งสองกับจำเลยที่ ๑ จึงมิใช่เป็นการขายตามคำพรรณนา ที่โจทก์ทั้งสองอ้างว่า ข้อตกลงดังกล่าวขัดต่อ พ.ร.บ. คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๒๒ (๑), (๕) จึงเป็นข้อตกลงที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนนั้น เห็นว่า ข้อตกลงตามสัญญาดังกล่าวเป็นเรื่องระหว่างโจทก์ทั้งสองกับจำเลยที่ ๑ มีผลผูกพันเฉพาะโจทก์ทั้งสองกับจำเลยที่ ๑ เท่านั้น แม้ พ.ร.บ. คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๒๒ (๑) บัญญัติห้ามโฆษณาข้อความที่เป็นเท็จหรือเกินความจริง หากมีการฝ่าฝืนก็เป็นเรื่องผิดต่อ พ.ร.บ. ดังกล่าวและอาจถูกห้ามมิให้กระทำการโฆษณาที่ผิดความจริงเท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่จะต้องไปว่ากล่าวกันในกรณีอื่น การโฆษณาข้อความดังกล่าวจึงหาทำให้สัญญาจะซื้อจะขายระหว่างโจทก์จำเลยขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนไม่
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share