คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1322/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 108 บัญญัติว่า “คำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ซึ่งศาลสั่งอนุญาตแล้วนั้น ถ้าต่อมาปรากฏว่าศาลได้สั่งไปโดยผิดหลง เมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำขอโดยทำเป็นคำร้อง ศาลมีอำนาจยกคำขอรับชำระหนี้หรือลดจำนวนหนี้ที่ได้สั่งอนุญาตไปแล้วได้” จะเห็นได้ว่าบทบัญญัติมาตรานี้ให้อำนาจเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ที่จะยื่นคำร้องต่อศาลขอให้ยกคำขอรับชำระหนี้หรือลดจำนวนหนี้ที่ศาลได้สั่งอนุญาตไปแล้วได้ แม้คำสั่งศาลดังกล่าวจะถึงที่สุดก็ตาม ถ้าปรากฏว่าศาลมีคำสั่งอนุญาตคำขอรับชำระหนี้โดยผิดหลงว่าลูกหนี้เป็นหนี้ตามจำนวนที่อนุญาตให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ ความจริงลูกหนี้มิได้เป็นหนี้หรือเป็นหนี้ไม่ถึงจำนวนที่อนุญาตให้รับชำระหนี้ ศาลมีอำนาจที่จะมีคำสั่งใหม่ให้ยกคำขอรับชำระหนี้หรือลดจำนวนหนี้ที่ได้สั่งอนุญาตไปแล้วได้ ทั้งนี้เพื่อความเป็นธรรมแก่บรรดาเจ้าหนี้ทั้งหลายที่ขอรับชำระหนี้ เมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในคดีนี้เห็นว่ามูลหนี้ที่ผู้คัดค้านยื่นคำขอรับชำระหนี้มีข้อพิรุธสงสัยน่าเชื่อว่าจะไม่มีมูลหนี้ต่อกันจริง ที่ศาลมีคำสั่งถึงที่สุดให้ผู้คัดค้านได้รับชำระหนี้น่าจะเป็นการสั่งไปโดยผิดหลง ดังนั้น เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงชอบที่จะยื่นคำร้องขอให้ศาลยกคำขอรับชำระหนี้ที่ศาลได้สั่งอนุญาตไปแล้วได้
อย่างไรก็ดี เมื่อศาลพิจารณาจากพยานหลักฐานและข้อเท็จจริงในสำนวนแล้วพบว่าลูกหนี้เป็นหนี้ผู้คัดค้านจริง ที่ศาลมีคำสั่งให้ผู้คัดค้านได้รับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้นั้นไม่ได้สั่งโดยผิดหลง ศาลก็ชอบที่จะยกคำร้องของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ไว้เด็ดขาดเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2528 และพิพากษาให้ล้มละลายเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2529 ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งถึงที่สุดอนุญาตให้ผู้คัดค้านได้รับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้เป็นเงินจำนวน 6,234,843.55 บาท ตามมาตรา 130 (8) แห่ง พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483
ผู้ร้องเป็นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำร้องว่า เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2538 ลูกหนี้ยื่นคำร้องและให้การต่อผู้ร้องว่า ลูกหนี้ไม่ได้เป็นหนี้ผู้คัดค้าน ผู้ร้องตรวจสอบแล้วน่าเชื่อว่ามูลหนี้ที่ผู้คัดค้านนำมายื่นขอรับชำระหนี้ยังมีข้อพิรุธสงสัยไม่น่าเชื่อว่าจะมีมูลหนี้ต่อกันจริง คำสั่งศาลที่อนุญาตให้ผู้คัดค้านได้รับชำระหนี้น่าจะเป็นการสั่งไปโดยผิดหลง ขอให้มีคำสั่งยกคำขอรับชำระหนี้ของผู้คัดค้านตามมาตรา 108 แห่ง พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้าน ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำขอรับชำระหนี้ของผู้คัดค้าน ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับ
ผู้คัดค้านอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีล้มละลายพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านที่ว่าผู้ร้องมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลยกคำขอรับชำระหนี้ของผู้คัดค้านซึ่งศาลมีคำสั่งถึงที่สุดอนุญาตให้ผู้คัดค้านได้รับชำระหนี้แล้วได้หรือไม่นั้น ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 108 บัญญัติว่า “คำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ซึ่งศาลสั่งอนุญาตแล้วนั้น ถ้าต่อมาปรากฏว่าศาลได้สั่งไปโดยผิดหลง เมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำขอโดยทำเป็นคำร้อง ศาลมีอำนาจยกคำขอรับชำระหนี้หรือลดจำนวนหนี้ที่ได้สั่งอนุญาตไปแล้วได้” จะเห็นได้ว่าบทบัญญัติมาตรานี้ให้อำนาจผู้ร้องที่จะยื่นคำร้องต่อศาลขอให้ยกคำขอรับชำระหนี้หรือลดจำนวนหนี้ที่ศาลได้สั่งอนุญาตไปแล้วได้ แม้คำสั่งศาลดังกล่าวจะถึงที่สุดก็ตาม ถ้าปรากฏว่าศาลมีคำสั่งอนุญาตคำขอรับชำระหนี้โดยผิดหลงว่าลูกหนี้เป็นหนี้ตามจำนวนที่อนุญาตให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ ความจริงลูกหนี้มิได้เป็นหนี้หรือเป็นหนี้ไม่ถึงจำนวนที่อนุญาตให้รับชำระหนี้ ศาลมีอำนาจที่จะมีคำสั่งใหม่ให้ยกคำขอรับชำระหนี้หรือลดจำนวนหนี้ที่ได้สั่งอนุญาตไปแล้วได้ ทั้งนี้เพื่อความเป็นธรรมแก่บรรดาเจ้าหนี้ทั้งหลายที่ขอรับชำระหนี้ คดีนี้ได้ความตามคำร้องของผู้ร้องว่า ลูกหนี้ยื่นคำร้องและให้การต่อผู้ร้องว่าลูกหนี้ไม่ได้เป็นหนี้ผู้คัดค้านตามพยานหลักฐานที่ผู้คัดค้านอ้างต่อผู้ร้อง ผู้ร้องจึงตรวจสอบพยานหลักฐานที่ผู้คัดค้านอ้างต่อผู้ร้องในชั้นสอบสวนแล้วเห็นว่ามูลหนี้ที่ผู้คัดค้านยื่นคำขอรับชำระหนี้มีข้อพิรุธสงสัยน่าเชื่อว่าจะไม่มีมูลหนี้ต่อกันจริง ที่ศาลมีคำสั่งถึงที่สุดให้ผู้คัดค้านได้รับชำระหนี้น่าจะเป็นการสั่งไปโดยผิดหลง ดังนั้น ผู้ร้องจึงชอบที่จะยื่นคำร้องขอให้ศาลยกคำขอรับชำระหนี้ที่ศาลได้สั่งอนุญาตไปแล้วเป็นคดีนี้ได้
ส่วนปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านที่ว่าลูกหนี้เป็นหนี้ผู้คัดค้านตามคำขอรับชำระหนี้หรือไม่นั้น เมื่อพิจารณาจากพยานหลักฐานทั้งฝ่ายผู้ร้องและผู้คัดค้านแล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าลูกหนี้ร่วมกับ ท. และ ส. ซื้อเพชรจากผู้คัดค้านที่กรุงบอมเบย์ ประเทศอินเดีย เป็นเงิน 386,453 เหรียญสหรัฐอเมริกาจริง จึงเป็นลูกหนี้ร่วมกัน ฉะนั้น ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้คัดค้านได้รับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้เป็นจำนวนเงิน 6,234,843.55 บาท เต็มตามคำขอ โดยมีเงื่อนไขว่าหากผู้คัดค้านได้รับชำระหนี้จาก ท. และ ส. แล้วเท่าไร ให้สิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ในคดีนี้ลดลงเพียงนั้น จึงไม่ได้สั่งโดยผิดหลงแต่ประการใด ที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นให้ยกคำขอรับชำระหนี้ของผู้คัดค้าน (เจ้าหนี้รายที่ 2) โดยฟังข้อเท็จจริงว่า ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้คัดค้านรับชำระหนี้นั้นเป็นการสั่งโดยผิดหลงนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของผู้คัดค้านฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของผู้ร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ.

Share