แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ให้เช่าที่ดินและตึกแถวเป็นระยะเวลานานถึง 15 ปีเศษ และผู้เช่าต้องชำระเงินกินเปล่าให้โจทก์ตลอดอายุสัญญาเช่าอีกเป็นเงินถึง 1,800,000 บาท แสดงให้เห็นว่าโจทก์ได้ประกอบกิจการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์แล้ว แม้จะมีการบอกเลิกสัญญาเช่าแล้วก่อนที่จะมีการขายที่ดิน 4 เดือน แต่โจทก์ได้จดทะเบียนเลิกการเช่ากับผู้เช่าและขายที่ดิน พร้อมอาคารตึกแถวแก่ผู้ซื้อในวันเดียวกัน การที่โจทก์ขายที่ดินและอาคารตึกแถวที่โจทก์ให้บุคคลอื่นเช่าถือว่าเป็นการขายอสังหาริมทรัพย์ที่โจทกมีไว้ในการประกอบกิจการอันเข้าลักษณะเป็นการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นทางค้าหรือ หากำไรตามมาตรา 3 (5) แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นทางค้าหรือหากำไร (ฉบับที่ 244) พ.ศ. 2534 โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2540 โจทก์ได้ขายที่ดินโฉนดเลขที่ 24927 ตำบลเวียงพางคำ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย พร้อมทั้งอาคารสิ่งปลูกสร้างตึกแถว 3 คูหา ให้แก่บริษัทเชียงรายสินธานี เป็นเงิน 13,500,000 บาท เจ้าพนักงานประเมินภาษีได้มีหนังสือแจ้งการประเมินภาษีธุรกิจเฉพาะให้โจทก์ทราบ โดยให้โจทก์เสียภาษีธุรกิจเฉพาะ จำนวน 1,450,102 บาท และภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีภาษี 2540 พร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่มอีก 807 บาท โจทก์ได้ยื่นอุทธรณ์การประเมินภาษีธุรกิจเฉพาะต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยให้โจทก์เสียภาษีธุรกิจเฉพาะจำนวน 449,046 บาท โจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะเพราะโจทก์ได้ถือครองมาเป็นเวลา 44 ปี ส่วนอาคารสิ่งปลูกสร้างจำนวน 3 คูหา โจทก์ก็ถือครองมาเป็นเวลา 7 ปี โดยการรับมรดกจากมารดาของโจทก์ ทั้งโจทก์และบริวารได้ถือครองในลักษณะเป็นที่อยู่อาศัยตลอดมา ต่อมาได้ย้ายภูมิลำเนาไปอยู่ที่ตำบลโป่งผา อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ตามระบบราชการ แต่โจทก์และบริวารของโจทก์บางคนยังคงอาศัยอยู่ ณ อาคาร 3 คูหา ขอให้เพิกถอนการประเมินภาษีธุรกิจเฉพาะของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ภาษีธุรกิจเฉพาะประจำจังหวัดเชียงราย ดังกล่าว
จำเลยให้การว่า โจทก์ได้นำตึกแถว 3 ชั้น 3 คูหา พร้อมที่ดินอันเป็นที่ตั้งของตึกแถวจำนวน 51 ตารางวา ออกให้นายวีระศักดิ์ เลาหะวีร์ เช่าเป็นเวลา 14 ปีเศษ ต่อมาวันที่ 23 มิถุนายน 2540 โจทก์ได้ขายที่ดินโฉนดเลขที่ 24927 ไปพร้อมตึกแถวดังกล่าว แม้ว่าในวันเดียวกันโจทก์จะบอกเลิกสัญญาเช่ากับผู้เช่า กรณีดังกล่าวถือว่าเป็น การขายอสังหาริมทรัพย์ที่ผู้ขายมีไว้ในการประกอบกิจการ เข้าลักษณะเป็นการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นทางค้าหรือหากำไร ตามมาตรา 3 (5) แห่งพระราชกฤษฎีกาาด้วยการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นทางการค้าหรือหากำไร (ฉบับที่ 244) พ.ศ. 2534 เดิมเจ้าพนักงานได้ทำการประเมินเรียกเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะจากราคาที่ดินทั้งแปลงพร้อมสิ่งปลูกสร้าง รวมจำนวน 13,500,000 บาท ต่อมาคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีมติให้คิดภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับที่ดินและตึกแถวในส่วนที่ให้เช่าเท่านั้น ทั้งยังได้ลดเบี้ยปรับลงมาครึ่งหนึ่งจากค่าเบี้ยปรับที่ต้องเสียตามกฎหมาย การดำเนินการของ เจ้าหน้าที่จึงชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์มีว่า โจทก์มีหน้าที่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ สำหรับการขายอาคารตึกแถวพร้อมที่ดินอันเป็นที่ตั้งของธนาคารดังกล่าว ตามที่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยหรือไม่ เห็นว่า ตามหนังสือสัญญาแบ่งเช่าที่ดินและตึกแถว โจทก์ให้เช่าที่ดินและตึกแถวเป็นระยะเวลานานถึง 14 ปีเศษ และผู้เช่าต้องชำระเงินกินเปล่าให้โจทก์ตลอดอายุสัญญาเช่าอีกเป็นเงินถึง 1,800,000 บาท พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าโจทก์ได้ประกอบกิจการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์แล้ว แม้การเช่าระหว่างโจทก์กับ นายวีระศักดิ์ เลาหะวีร์ ได้มีการบอกเลิกก่อนที่จะมีการขายที่ดินก่อนล่วงหน้า 4 เดือนแล้ว แต่โจทก์ได้จดทะเบียนเลิกการเช่ากับนายวีระศักดิ์และขายที่ดินดังกล่าวทั้งแปลงพร้อมอาคารตึกแถวดังกล่าวในวันเดียวกันคือวันที่ 23 มิถุนายน 2540 ดังนั้น การที่โจทก์ขายที่ดินและอาคารตึกแถวที่โจทก์ให้บุคคลอื่นเช่าถือว่าเป็นการขายอสังหาริมทรัพย์ที่โจทก์มีไว้ในการประกอบกิจการอันเข้าลักษณะเป็นการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นทางการค้าหรือหากำไรตามมาตรา 3 (5) แห่ง พระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฏากรว่าด้วยการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นทางค้าหรือหากำไร (ฉบับที่ 244) พ.ศ. 2534 การประเมินเรียกเก็บภาษีของเจ้าพนักงานประเมินจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว เมื่อโจทก์อุทธรณ์และ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้ยกอุทธรณ์ของโจทก์แต่ได้ปรับปรุงการคำนวณภาษีธุรกิจเฉพาะใหม่โดยเรียกเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับที่ดินและอาคารตึกแถวที่ให้เช่าเท่านั้น คิดเป็นเงินภาษีเบี้ยปรับเงินเพิ่มและภาษีส่วนท้องถิ่นรวมทั้งสิ้น 449,046 บาท โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับการขายอาคารตึกแถวพร้อมที่ดินอันเป็น ที่ตั้งของอาคารตึกแถวตามที่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคำวินิจฉัย
พิพากษายืน.