แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาได้นำยึดที่ดินพิพาทซึ่งเป็นของโจทก์เพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้ เมื่อโจทก์แจ้งให้จำเลยทราบจำเลยยอมรับรู้สิทธิของโจทก์ในที่ดินพิพาทและได้ยื่นคำร้องต่อศาลในคดีดังกล่าวยอมรับว่าที่ดินพิพาทที่นำยึดเป็นของโจทก์ ไม่ใช่ที่ดินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยและขอให้ศาลเพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินพิพาท ถือได้ว่าจำเลย ได้กระทำการอันปราศจากข้อสงสัยแสดงให้เห็นเป็นปริยายว่าจำเลยยอมรับสภาพหนี้ตามสิทธิเรียกร้องของโจทก์เกี่ยวกับที่ดินพิพาทนั้นแล้ว อายุความย่อมสะดุดหยุดลงตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/14(1) เมื่ออายุความสะดุดหยุดลงแล้วระยะเวลาที่ล่วงไปก่อนนั้นไม่นับเข้าในอายุความ และเมื่อเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงสิ้นสุดเวลาใด ให้เริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่เวลานั้นตาม มาตรา193/15 เมื่อศาลมีคำสั่งให้ยกคำร้องของจำเลย วันที่ 18 กรกฎาคม 2539 เป็นเหตุที่ทำให้ อายุความสะดุดหยุดลงสิ้นสุดในวันดังกล่าวตาม มาตรา 193/15 จึงเริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่วันที่ 18 กรกฎาคม 2539โจทก์มาฟ้องจำเลยเรียกค่าเสียหายเป็นคดีนี้ วันที่ 4 กันยายน 2539 ยังไม่พ้นกำหนดอายุความ 1 ปี ตามมาตรา 448 วรรคหนึ่ง คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน ๑,๔๕๘,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องให้แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ก่อนที่จำเลยจะนำเจ้าพนักงานบังคับทำการยึดที่ดิน โฉนดเลขที่ ๕๖๕๗๕ ตำบลควนลัง อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา จำเลยได้ตรวจสอบหลักฐานทางทะเบียนแล้วว่ามีชื่อ “หมัด หมัดอะดั้ม” ซึ่งตรงกับหลักฐานที่ปรากฏในคำพิพากษา จึงชี้ให้เจ้าพนักงานทำการยึด จำเลยมิได้กระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาโจทก์ขอถอนคำขอในส่วนที่ขอให้นายถาวร พรประภา รับผิดเป็นส่วนตัว ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน ๖๑๗,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี แก่โจทก์ นับแต่วันถัดจากวันฟ้อง (วันที่ ๔ กันยายน ๒๕๓๙) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ ๑๐,๐๐๐ บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนเท่าที่โจทก์ชนะคดี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๙ พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ ๑๕,๐๐๐ บาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกา พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติว่า โจทก์กับนายหมัด หมัดอะดั้ม เป็นบุคคลคนละคนกัน จำเลยได้ฟ้องนายหมัดเป็นจำเลยที่ ๑ นายหมีด หวันตะหา เป็นจำเลยที่ ๒ ต่อศาลแพ่ง เรื่องผิดสัญญาเช่าซื้อ ค้ำประกัน ศาลแพ่งพิพากษาให้นายหมัดกับนายหมีดร่วมกันชำระเงินจำนวน ๓๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี แก่จำเลยตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๘๖๔๘/๒๕๓๑ ของศาลแพ่ง นายหมัดกับนายหมีดไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษา จำเลยได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพิพาท ซึ่งเป็นของโจทก์เพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้ ต่อมาวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๓๗ เจ้าพนักงาน บังคับคดีได้ขายทอดตลาดที่ดินพิพาท โดยนายสมชาย เรืองมณี เป็นผู้ประมูลซื้อได้ในราคา ๑๑๕,๐๐๐ บาท ครั้นเดือนตุลาคม ๒๕๓๗ โจทก์จึงทราบเรื่องดังกล่าว โจทก์แจ้งให้จำเลยทราบว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ วันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๗ จำเลยได้ยื่นคำร้องต่อศาลแพ่ง ยอมรับว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจกท์ไม่ใช่ของนายหมัดลูกหนี้ตามคำพิพากษา ขอให้ศาลแพ่งเพิกถอนการขายทอดตลาด ศาลแพ่งไต่สวนแล้วมีคำสั่งเมื่อวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๓๙ ให้ยกคำร้อง คำสั่งดังกล่าวถึงที่สุด โจทก์จึงฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้เมื่อวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๓๙
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่า คดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า เมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๗ จำเลยได้ยื่นคำร้อง ต่อมาศาลแพ่งยอมรับว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ไม่ใช่ที่ดินของนายหมัดลูกหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลย ขอให้ศาลแพ่งเพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินพิพาท พฤติการณ์ของจำเลยถือได้ว่าจำเลยได้กระทำการอันปราศจากข้อสงสัยแสดงให้เห็นเป็นปริยายว่า จำเลยยอมรับสภาพหนี้ตามสิทธิเรียกร้องของโจทก์เกี่ยวกับที่ดินพิพาทนั้นแล้ว อายุความย่อมสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๙๓/๑๔ (๑) ซึ่งอย่างช้านับแต่วันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๗ เมื่ออายุความสะดุดหยุดลงแล้วระยะเวลาที่ล่วงไปก่อนนั้นไม่นับเข้าในอายุความ และเมื่อเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงสิ้นสุดเวลาใด ให้เริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่เวลานั้นตามมาตรา ๑๙๓/๑๕ ศาลแพ่งมีคำสั่งให้ยกคำร้องของจำเลย เมื่อวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๓๙ ดังนั้นเหตุที่ทำให้อายุความหยุดลงสิ้นสุดในวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๓๙ จึงเริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่วันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๓๙ ตามมาตรา ๑๙๓/๑๕ ดังกล่าว โจทก์ฟ้องจำเลยคดีนี้เมื่อวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๓๙ ยังไม่พ้นกำหนดอายุความ ๑ ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๔๘ วรรคหนึ่ง คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน ๔๐๑,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันถัดจากวันฟ้อง (วันที่ ๔ กันยายน ๒๕๓๙) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าขึ้นศาลทั้งสามศาลแทนโจทก์ตามจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีในชั้นฎีกา และให้ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา ๓,๐๐๐ บาท แทนโจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๙