แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับการเรียกค่าจ้างว่าความขาดอายุความแล้ว โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 เห็นว่า สิทธิเรียกร้องของโจทก์ในการเรียกเอาค่าจ้างว่าความยังไม่ขาดอายุความ จึงพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี เมื่อไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ประเด็นเรื่องอายุความจึงเป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ศาลชั้นต้นจึงต้องดำเนินการพิจารณาแล้วมีคำพิพากษาใหม่เฉพาะในประเด็นเรื่องค่าจ้างว่าความเท่านั้น
ศาลชั้นต้นสืบพยานจนเสร็จสิ้นกระแสความและมีคำพิพากษาแล้ว เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ศาลชั้นต้นจึงชอบที่จะนัดฟังคำพิพากษาศาลชั้นต้นต่อไปได้ โดยไม่ต้องกำหนดวันนัดพิจารณาอีก
จำเลยฎีกาโต้แย้งกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น ประเด็นตามฎีกาของจำเลยมิได้มีผลเกี่ยวกับทุนทรัพย์ในคดี จำเลยจึงต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาอย่างคดีไม่มีทุนทรัพย์จำนวน 200 บาท ตามตาราง 1 (2) (ก) ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เดิมจำเลยเป็นผู้รับจ้างธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ให้ดำเนินคดีแก่ลูกค้าของธนาคารที่ค้างชำระหนี้จากการใช้บัตรเครดิต เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2544 จำเลยได้ว่าจ้างโจทก์ให้ดำเนินคดีแก่ลูกค้าของธนาคารรวม 5 คดี ค่าจ้างคดีละ 1,500 บาท โจทก์ดำเนินการฟ้องคดีที่ศาลแขวงพระโขนงแล้ว แต่จำเลยค้างชำระค่าจ้างว่าความรวม 5 คดี เป็นเงิน 7,500 บาท ค่าทำอุทธรณ์ 3 คดีเป็นเงิน 3,000 บาท และค่าใช้จ่ายในระหว่างดำเนินคดีที่โจทก์ทดรองจ่ายไปอีก 2 คดี เป็นเงิน 1,340 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 11,840 บาท โจทก์ทวงถามแล้วจำเลยเพิกเฉย โจทก์ขอคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ถึงวันฟ้องเป็นเงิน 1,628 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 13,468 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงิน 11,840 บาท นัยถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยตกลงว่าจ้างโจทก์ให้ฟ้องคดีในอัตราเรื่องละ 600 บาท จำเลยไม่เคยว่าจ้างโจทก์ให้ทำคำฟ้องอุทธรณ์และโจทก์ไม่ได้ออกเงินทดรองจ่ายในการดำเนินคดี ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับค่าจ้างว่าความขาดอายุความ พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 3,005 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2545 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ ส่วนค่าทนายความเนื่องจากโจทก์ว่าความเองจึงไม่กำหนดให้ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า สิทธิเรียกร้องของโจทก์ในการเรียกเอาค่าจ้างว่าความยังไม่ขาดอายุความ พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาแล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้รวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 10,505 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 3,005 บาท นับแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2545 และจากต้นเงิน 7,500 บาท นับแต่วันที่ 28 มกราคม 2547 ซึ่งเป็นวันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ส่วนค่าทนายความเห็นสมควรไม่กำหนดให้
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ ให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ส่วนที่เสียเกินกว่า 200 บาท แก่จำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยมีว่า ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาแล้วมีคำพิพากษาใหม่โดยมิได้วินิจฉัยในประเด็นเรื่องอายุความชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า เดิมศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับการเรียกค่าจ้างว่าความขาดอายุความแล้ว แต่เมื่อโจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 เห็นว่า สิทธิเรียกร้องของโจทก์ในการเรียกเอาค่าจ้างว่าความยังไม่ขาดอายุความจึงพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาแล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี เมื่อไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ประเด็นเรื่องอายุความจึงเป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ศาลชั้นต้นจึงต้องดำเนินการพิจารณาแล้วมีคำพิพากษาใหม่เฉพาะในประเด็นเรื่องค่าจ้างว่าความเท่านั้น การที่ศาลชั้นต้นไม่วินิจฉัยในประเด็นเรื่องอายุความจึงชอบแล้ว
ที่จำเลยฎีกาปัญหาข้อกฎหมายต่อมาว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาแล้วมีคำพิพากษาใหม่ การที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 แล้วนัดฟังคำพิพากษาศาลชั้นต้นต่อไปในคราวเดียวโดยไม่แจ้งวันนัดพิจารณาให้คู่ความทราบ เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 133 บัญญัติว่า “เมื่อศาลมิได้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความดังที่บัญญัติไว้ในมาตราก่อน ให้ศาลชี้ขาดคดีนั้นโดยทำเป็นคำพิพากษาหรือคำสั่งในวันที่สิ้นการพิจารณา แต่เพื่อการที่จะพิเคราะห์คดีต่อไปศาลจะเลื่อนการพิพากษาหรือการทำคำสั่งต่อไปในวันหลังก็ได้ตามที่เห็นสมควรเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม” คดีนี้ศาลชั้นต้นสืบพยานจนเสร็จสิ้นกระแสความและมีคำพิพากษาแล้ว เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาแล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ศาลชั้นต้นจึงชอบที่จะนัดฟังคำพิพากษาศาลชั้นต้นต่อไปได้ โดยไม่ต้องกำหนดวันนัดพิจารณาอีก เพราะคดีเสร็จการพิจารณามาก่อนนั้นแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
อนึ่งจำเลยฎีกาโต้แย้งกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นประเด็นตามฎีกาของจำเลยมิได้มีผลเกี่ยวกับทุนทรัพย์ในคดี จำเลยจึงต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาอย่างคดีไม่มีทุนทรัพย์จำนวน 200 บาท ตามตาราง 1 (2) (ก) ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งแต่จำเลยเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกามาอย่างคดีมีทุนทรัพย์จำนวน 262.50 บาท จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เสียเกินมาให้แก่จำเลย”
พิพากษายืน คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาส่วนที่เกินกว่า 200 บาท ให้แก่จำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ