แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ห้องชุดย่อมเป็นอสังหาริมทรัพย์ตามความหมายใน ป.พ.พ. มาตรา 466 ดังนั้นที่จำเลยฎีกาว่ามาตรา 466 ที่ศาลล่างทั้งสองยกขึ้นมาปรับเข้ากับข้อเท็จจริงในคดีควรเป็นการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ที่ดินซึ่งสามารถดำเนินการรังวัดสอบเขตได้โดยชัดเจน และสามารถคำนวณหาพื้นที่ได้อย่างสะดวก จะนำมาปรับเข้ากับข้อเท็จจริงในการจะซื้อจะขายห้องชุดไม่ได้ เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
คำฟ้องฎีกาจำเลยไม่มีลายมือชื่อผู้ฎีกา จึงเป็นคำฟ้องฎีกาที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 67 (5) แต่เมื่อฎีกาจำเลยไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย และฎีกาของจำเลยข้ออื่นต้องห้ามฎีกา คดีจึงไม่มีเหตุสมควรที่จะส่งสำนวนคืนศาลชั้นต้นเพื่อจัดการให้มีการลงลายมือชื่อผู้ฎีกาให้ถูกต้องต่อไป ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 18 วรรคสอง ศาลฎีกาพิพากษายกฎีกาจำเลย คืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกาแก่จำเลย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๓๑ โจทก์ทำสัญญาจะซื้อห้องชุดอาคารพัทยาบีชคอนโดทาวน์ ๑ ห้อง เนื้อที่ ๕๐ ตารางเมตร จากจำเลย ชำระเงินในวันทำสัญญา ๑๘,๐๐๐ บาท และชำระเงินดาวน์เป็นรายเดือนอีกจำนวน ๑๘๔,๐๐๐ บาท ที่เหลือจำนวน ๘๒๓,๐๐๐ บาท ตกลงชำระในวันจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ และในวันดังกล่าวโจทก์ ทำสัญญาซื้อเฟอร์นิเจอร์รวมเป็นเงิน ๑๒๐,๐๐๐ บาท โดยให้จำเลยติดตั้งให้โจทก์ ณ ห้องชุดดังกล่าว โจทก์ชำระค่ามัดจำในวันทำสัญญา ๕,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลือ ๑๑๕,๐๐๐ บาท ผ่อนชำระเดือนละ ๕,๐๐๐ บาท โจทก์ผ่อนชำระเงินดาวน์ห้องชุดและค่าเฟอร์นิเจอร์ให้จำเลยครบถ้วนเป็นเงิน ๒๙๙,๐๐๐ บาท รวมโจทก์ชำระเงินให้จำเลยไปแล้วทั้งสิ้น ๓๒๒,๐๐๐ บาท จำเลยกำหนดจะโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดในวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๓๖ แต่โจทก์พบว่าห้องชุดดังกล่าวมีพื้นที่เพียง ๔๕ ตารางเมตร ซึ่งน้อยกว่าที่ระบุไว้ในสัญญาจะซื้อจะขายมาก โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยดำเนินการแก้ไข ภายในกำหนดมิฉะนั้นขอเลิกสัญญา แต่จำเลยเพิกเฉย สัญญาเป็นอันเลิกกันเมื่อครบกำหนดเวลาตามหนังสือบอกกล่าว จำเลยต้องคืนเงิน ๓๒๒,๐๐๐ บาท แก่โจทก์และต้องชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันที่โจทก์จ่ายเงินจนถึงวันฟ้องคิดเป็นเงินดอกเบี้ย ๒๐๙,๐๑๒.๕๐ บาท และการที่จำเลยผิดสัญญาทำให้โจทก์ไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดได้ โจทก์ขาดกำไรในการที่นำห้องชุดออกขายให้แก่นายรัตนปาล ซิงห์ ซึ่งโจทก์จะได้กำไร ๕๐๐,๐๐๐ บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน ๑,๐๓๑,๐๑๒.๕๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๘๒๒,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้อง จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี โดยแยกคำนวณต้นเงินและ ดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปรากฏว่าคำฟ้องฎีกาจำเลยไม่มีลายมือชื่อผู้ฎีกา จึงเป็นคำฟ้องฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๖๗ (๕) แต่การที่จำเลยฎีกาข้อแรกว่า วัตถุประสงค์ของประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ มาตรา ๔๖๖ ที่ศาลล่างทั้งสองยกขึ้นมาปรับเข้ากับข้อเท็จจริงในคดีนี้ควรเป็นการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ที่ดินซึ่งสามารถดำเนินการรังวัดสอบเขตได้โดยชัดเจน และสามารถคำนวณหาพื้นที่ได้อย่างสะดวก จะนำมาปรับเข้ากับข้อเท็จจริงในการจะซื้อจะขายห้องชุดนี้ไม่ได้ เนื่องจากเป็นการซื้อขายเฉพาะอย่างและไม่สามารถทำการรังวัดสอบเขตให้รู้จำนวนเนื้อที่อย่างแน่นอนนั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรไดรับการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๙ วรรคหนึ่ง เพราะห้องชุดย่อมเป็นอสังหาริมทรัพย์ตามความหมายในบทมาตราดังกล่าว ส่วนฎีกาจำเลยอีกข้อหนึ่งที่ว่า โจทก์ผิดนัดรับโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุด จำเลยจึงมีสิทธิบอกเลิกสัญญาต่อโจทก์ได้ สิทธิการบอกเลิกสัญญาของจำเลยเกิดขึ้นก่อนโจทก์ โจทก์จึงจะมาบอกเลิกสัญญาต่อจำเลยใน ภายหลังไม่ได้ เพราะจำเลยไม่เป็นฝ่ายผิดสัญญาก่อนนั้น ก็เท่ากับจำเลยยอมรับว่าจำเลยผิดสัญญาซื้อขายห้องชุดตามประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นชี้สองสถานไว้ สำหรับปัญหาว่า โจทก์ผิดนัดรับโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดและจำเลยมีสิทธิบอกเลิกสัญญาต่อโจทก์ได้หรือไม่ นั้น ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทและได้วินิจฉัยมาด้วย จึงเป็นข้อ ที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๙ วรรคหนึ่ง เมื่อฎีกาจำเลยไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยประการหนึ่ง และต้องห้ามฎีกา อีกประการหนึ่งเช่นนี้ คดีจึงไม่มีเหตุสมควรที่จะส่งสำนวนคืนศาลชั้นต้นเพื่อจัดการให้มีการลงลายมือชื่อผู้ฎีกาให้ ถูกต้องต่อไป ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๘ วรรคสอง
พิพากษายกฎีกาจำเลย คืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกาแก่จำเลย