คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9519/2544

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ปัญหาที่โจทก์จะยกขึ้นฎีกาเพราะพฤติการณ์ไม่เปิดช่องให้กระทำได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคสอง มีได้แต่เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายเท่านั้น
ฎีกาโจทก์เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคแรก แม้โจทก์จะอ้างว่าไม่สามารถยกปัญหาข้อเท็จจริงดังกล่าวขึ้นกล่าวในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์เพราะพฤติการณ์ไม่เปิดช่องให้กระทำได้ ก็ไม่เข้าข้อยกเว้นที่จะยกขึ้นอ้างซึ่งปัญหาเช่นว่านั้นในชั้นฎีกาได้ตามมาตรา 249 วรรคสอง ข้อเท็จจริงต้องฟังตามคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์
เมื่อไม่ปรากฏว่าศาลชั้นต้นไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ. ว่าด้วยการพิจารณาตามมาตรา 243 (2) ประกอบ มาตรา 247 จึงไม่มีเหตุที่จะต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาใหม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อต้นปี 2538 จำเลยขออาศัยอยู่ในที่ดินของโจทก์เนื้อที่ 6 ตารางวา ในโฉนดเลขที่ 5451 เพื่อปลูกเพิงร้านขายก๋วยเตี๋ยวอยู่หน้าบ้านเลขที่ 98/1 ของนางกรี จันทร์โอ ซึ่งเป็นผู้เช่าที่ดินจากโจทก์ต่อมาต้นปี 2539 โจทก์ประสงค์จะใช้ที่ดินเพื่อปลูกสร้างอาคารพาณิชย์จึงบอกให้จำเลยรื้อถอน แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้ขับไล่จำเลยและให้จำเลยรื้อถอนเพิงร้านขายก๋วยเตี๋ยวหน้าบ้านเลขที่ 98/1 ออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 5451 ห้ามจำเลยเข้ามาเกี่ยวข้องในที่ดินของโจทก์อีกต่อไป ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 5,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะออกจากที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยและมารดาจำเลยไม่เคยขออาศัยอยู่ในที่ดินของโจทก์ แต่มารดาจำเลยได้ปลูกร้านขายก๋วยเตี๋ยวในที่ดินของสุขาภิบาลบางบาล ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันในชั้นฎีกาฟังได้ว่า โจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 5451 เนื้อที่ 3 ไร่ 3 งาน 80 ตารางวา ส่วนจำเลยครอบครองที่ดินพิพาท (ตามฟ้องโจทก์อ้างว่ามีเนื้อที่ประมาณ 6 ตารางวา) ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของที่ดินตามโฉนดของโจทก์ดังกล่าว ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยต้องกันว่า พยานหลักฐานของโจทก์รับฟังไม่ได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามโฉนดเอกสารหมาย จ. 1 ของโจทก์
มีปัญหาต้องวินิจฉัยชั้นนี้ตามที่โจทก์ฎีกาว่า การที่โจทก์มีตัวโจทก์เพียงปากเดียวเบิกความถึงการที่จำเลยมาขออาศัยอยู่ในที่ดินของโจทก์ โดยมีนายบุญเกียรติ ช่างรังวัดสำนักงานที่ดินจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เบิกความว่า โจทก์นำชี้ที่ดินของโจทก์ตามแผนที่วิวาทเอกสารหมาย จ. 3 มากกว่าเนื้อที่ดินตามโฉนดเอกสารหมาย จ. 1 และที่ดินพิพาทที่จำเลยปลูกเพิงอาศัยอยู่นั้นก็ไม่มีหลักฐานหลักหมุดโฉนดที่ดินเดิมปรากฎอยู่ด้วย จึงทำให้พยานโจทก์มีน้ำหนักน้อยกว่าพยานของจำเลยนั้น ก็ด้วยเหตุที่โจทก์ไม่สามารถรังวัดสอบเขตที่ดินของโจทก์ตามโฉนดเอกสารหมาย จ. 1 ได้ เพราะที่ดินของโจทก์บริเวณที่ดินพิพาทติดทางสาธารณประโยชน์ซึ่งนายอำเภอบางบาลคัดค้านและไม่รับรองแนวเขต แต่บัดนี้โจทก์ได้เป็นโจทก์ฟ้องกระทรวงมหาดไทยเป็นจำเลย และต่อมามีการตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยจัดทำแผนที่พิพาทกันในคดีดังกล่าวยอมรับว่าถูกต้องตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 1352/2541 ของศาลชั้นต้น โจทก์จึงทราบแนวเขตแน่นอนว่าที่ดินพิพาทคดีนี้อยู่ในเขตที่ดินของโจทก์ตามโฉนดเอกสารหมาย จ. 1 มิใช่อยู่ในเขตที่ดินของสุขาภิบาลบางบาลตามที่จำเลยอ้าง ซึ่งข้อเท็จจริงดังกล่าวโจทก์ไม่อาจยกขึ้นกล่าวอ้างในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 ได้ เพราะตามพฤติการณ์เป็นเรื่องนอกเหนือไม่อาจบังคับหรือกระทำได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคสอง จึงขอให้พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 หรือย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีใหม่ในประเด็นที่เกิดขึ้นนั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่โจทก์จะยกขึ้นอ้างในการยื่นฎีกานั้น โจทก์จะต้องกล่าวไว้โดยชัดแจ้งในฎีกา และต้องเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคแรก แต่มีข้อยกเว้นในมาตรา 249 วรรคสอง ว่า “ถ้าคู่ความฝ่ายใดมิได้ยกปัญหาข้อใดอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนขึ้นกล่าวในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ หรือคู่ความฝ่ายใดไม่สามารถยกปัญหาข้อกฎหมายใด ๆ ขึ้นกล่าวในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ เพราะพฤติการณ์ไม่เปิดช่องให้กระทำได้ หรือเพราะเหตุเป็นเรื่องที่ไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติว่าด้วยกระบวนพิจารณาชั้นฎีกา คู่ความที่เกี่ยวข้องย่อมมีสิทธิที่จะยกขึ้นอ้างซึ่งปัญหาเช่นว่านั้นได้” ดังนั้นข้ออ้างของโจทก์ที่ว่า โจทก์ไม่สามารถยกปัญหาข้อเท็จจริงที่ฎีกาขึ้นกล่าวอ้างในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ภาค 2 เพราะพฤติการณ์ไม่เปิดช่องให้กระทำได้ เพื่อใช้สิทธิยกปัญหาดังกล่าวขึ้นอ้างในชั้นฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคสอง นั้น เห็นว่า กฎหมายไม่เปิดช่องให้โจทก์กระทำเช่นนั้นได้ เนื่องจากปัญหาที่โจทก์จะยกขึ้นฎีกาเพราะพฤติการณ์ไม่เปิดช่องให้กระทำได้นั้น มีได้แต่เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายเท่านั้น คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 รับฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่า พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาไม่อาจรับฟังได้ว่าที่ดินพิพาทอยู่ในเขตที่ดินตามโฉนดเอกสารหมาย จ. 1 ของโจทก์ แต่โจทก์ฎีกาว่า ต่อมาโจทก์ได้ฟ้องกระทรวงมหาดไทยเป็นจำเลยเกี่ยวกับที่ดินตามโฉนดเอกสารหมาย จ. 1 ของโจทก์ ในที่สุดได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยโจทก์และจำเลยในคดีดังกล่าวทำการรังวัดที่ดินของโจทก์ทำแผนที่พิพาทได้ความว่าที่ดินพิพาทอยู่ในเขตที่ดินตามโฉนดเอกสารหมาย จ. 1 ของโจทก์ตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 1352/2541 ของศาลชั้นต้นนั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ภาค 2 ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคแรก แม้โจทก์จะอ้างว่าไม่สามารถยกปัญหาข้อเท็จจริงดังกล่าวขึ้นกล่าวในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ภาค 2 เพราะพฤติการณ์ไม่เปิดช่องให้กระทำได้ ก็ไม่เข้าข้อยกเว้นที่จะยกขึ้นอ้างซึ่งปัญหาเช่นว่านั้นในชั้นฎีกาได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคสอง ดังกล่าวข้างต้น ข้อเท็จจริงต้องฟังว่าที่ดินพิพาทไม่ได้อยู่ในเขตที่ดินตามโฉนดเอกสารหมาย จ. 1 ของโจทก์ตามคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 และไม่มีเหตุอันใดที่จะต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาใหม่ในประเด็นดังกล่าวเพราะไม่ปรากฏว่าศาลชั้นต้นไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ. ว่าด้วยการพิจารณาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 243 (2) ประกอบมาตรา 247 แต่อย่างใด.

Share