คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1814/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ร้องได้บรรยายในคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ถึงสภาพแห่งข้อหาว่าผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้จำเลยตามคำพิพากษา และไม่สามารถเอาชำระหนี้จากทรัพย์สินอื่นของจำเลยได้ คงมีเฉพาะเงินที่โจทก์มีสิทธิที่จะได้รับจากศาล ซึ่งเป็นจำนวนเงินงวดสุดท้ายที่จำเลยมีสิทธิได้รับและเหลืออยู่เท่านั้น ผู้ร้องจึงไม่สามารถเอาชำระหนี้จากทรัพย์สินอื่น ๆ ของจำเลยได้อีก ขอให้ผู้ร้องเข้าเฉลี่ยในเงินจำนวนดังกล่าวดังนี้คำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ได้บรรยายไว้ชัดแจ้ง ชอบด้วยกฎหมายแล้ว ไม่จำต้องบรรยายถึงรายละเอียดเรื่องวันเวลาที่ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้โอนเงินที่ผู้ร้องอายัดไว้ชั่วคราวมายังคดีของโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเมื่อใดไว้ เพราะเป็นข้อเท็จจริงที่ปรากฏในสำนวนอยู่แล้ว และคู่ความสามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณาคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์จึงไม่เคลือบคลุม
แม้ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งตามคำร้องขอของโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาให้อายัดเงินซึ่งธนาคารส่งมาตามหมายอายัดชั่วคราวของศาลเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2533 แต่ก็ยังไม่มีการชำระเงินตามคำสั่งดังกล่าวระยะเวลาสิบสี่วันตาม ป.วิ.พ. มาตรา 290 วรรคห้า จึงยังไม่เริ่มนับ ดังนั้นเมื่อผู้ร้องนำเงินมาชำระคืนตามคำสั่งศาลในวันที่ 31 พฤษภาคม 2533 พร้อมกับยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์จากเงินจำนวนดังกล่าวในวันเดียวกัน จึงถือได้ว่าผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ภายในกำหนดเวลาตาม ป.วิ.พ.มาตรา 290 วรรคห้าแล้ว จึงเป็นการยื่นขอเฉลี่ยทรัพย์โดยชอบ

Share