แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ทางปฏิบัติของโจทก์กับจำเลยที่ 1 ตามสัญญาซื้อขายสินค้าที่ถือปฏิบัติต่อกันมาไม่ได้ถือเอากำหนดเวลาการชำระเงินที่ได้ตกลงกันไว้ตามใบสั่งโดยเคร่งครัด แสดงว่าโจทก์กับจำเลยที่ 1 มิได้มีเจตนาที่จะถือเอากำหนดระยะเวลาในการชำระเงินเป็นสาระสำคัญตามสัญญาดังที่กำหนดไว้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 388 ทั้งข้อสัญญาตามใบสั่งครั้งแรกก็ไม่ได้ระบุชัดแจ้งว่าหากโจทก์ไม่ชำระเงินภายใน 7 วัน นับจากวันที่รับของ สัญญาซื้อขายเป็นอันเลิกกันทันที ฉะนั้นจำเลยที่ 1 จะใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาได้ก็ต่อเมื่อได้แจ้งให้โจทก์ชำระเงินภายใน 7 วัน นับจากวันที่รับของตามใบสั่งครั้งแรกในงวดต่อไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 387 และจำเลยที่ 1 ยังไม่มีสิทธิเลิกสัญญาตามใบสั่งครั้งที่สองและครั้งที่สาม เพราะจำเลยที่ 1 ยังไม่ได้ส่งมอบสินค้าให้แก่โจทก์ตามสัญญา จำเลยจะกล่าวอ้างว่าฐานะทางการเงินของโจทก์ไม่ดี เกรงว่าจะไม่ได้รับชำระเงินมาเป็นเหตุบอกเลิกสัญญาหาได้ไม่ จำเลยที่ 1 จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์สั่งซื้อน้ำมันปาล์มดิบจากจำเลยที่ ๑ สามครั้ง จำเลยที่ ๑ส่งน้ำมันปาล์มดิบให้โจทก์ตามใบสั่งซื้อครั้งแรกเพียง ๔๑.๕๒ เมตริกตัน ยังขาดอยู่อีก ๕๘.๔๘เมตริกตัน แล้วจำเลยไม่ส่งให้แก่โจทก์อีกเลย จำเลยที่ ๑ จึงผิดสัญญา ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายต้องซื้อน้ำมันปาล์มดิบจากบุคคลอื่นในราคาที่สูงขึ้น จำเลยที่ ๒ เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างจำเลยที่ ๑ จึงต้องร่วมกับจำเลยที่ ๑ รับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดชำระเงินจำนวน ๑,๓๗๕,๘๘๘.๗๕ บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองให้การว่า เกี่ยวกับใบสั่งซื้อครั้งแรกโจทก์ไม่ชำระเงินให้แก่จำเลยที่ ๑ ภายใน ๗ วัน นับแต่วันรับของ ซึ่งวัตถุประสงค์แห่งสัญญาตามใบสั่งซื้อได้กำหนดระยะเวลาการชำระเงินไว้แน่นอน แต่โจทก์ผิดนัดและทราบกันในวงการค้าที่ว่าการเงินของโจทก์ไม่ดีทั้งโจทก์ไม่มีหลักประกันพอให้จำเลยที่ ๑ เชื่อว่าเมื่อส่งมอบน้ำมันปาล์มให้โจทก์แล้ว จำเลยที่ ๑จะได้รับชำระหนี้ จำเลยที่ ๑ จึงได้แจ้งเลิกการส่งมอบของที่ยังค้างอยู่ตามใบสั่งซื้อครั้งแรก และแจ้งเลิกการส่งมอบตามใบสั่งซื้อครั้งที่สองและครั้งที่สาม โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสอง โจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย ถึงหากจะเสียหายก็ไม่ถึงจำนวนตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดชำระเงินจำนวน๔๐๘,๔๘๐ บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๒๙เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์และจำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองประการแรกว่า จำเลยที่ ๑ เป็นฝ่ายผิดสัญญาหรือไม่ จำเลยทั้งสองกล่าวอ้างว่า ตามใบสั่งทั้งสามครั้ง มีข้อกำหนดเกี่ยวกับเวลาการชำระเงินไว้ว่า ระยะเวลาในการชำระเงิน ๗ วันนับจากวันที่รับของ การชำระเงินค่าซื้อหรือขายสินค้านั้นเป็นหัวใจสำคัญของการประกอบธุรกิจการค้า เมื่อโจทก์ชำระเงินให้แก่จำเลยที่ ๑ ล่าช้ากว่ากำหนด โจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาจำเลยที่ ๑ มีสิทธิเลิกสัญญาได้ และจำเลยที่ ๒ ได้โทรศัพท์บอกนายธัชชัย ผะเดิมชิต กรรมการของบริษัทโจทก์ว่าจะไม่ส่งน้ำมันปาล์มดิบส่วนที่เหลือให้แก่โจทก์อีกต่อไปแล้ว เห็นว่า ในทางปฏิบัติของโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ที่ถือปฏิบัติต่อกันมา ไม่ได้ถือเอากำหนดเวลาการชำระเงินที่ได้ตกลงกันไว้ตามใบสั่งโดยเคร่งครัด ดังจะเห็นได้ว่า ก่อนที่จะเกิดพิพาทเป็นคดีนี้ โจทก์เคยสั่งซื้อน้ำมันปาล์มดิบจากจำเลยที่ ๑ เมื่อวันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๒๘ ตามใบสั่งเลขที่ ๑๔๑๗ จำเลยที่ ๑ ส่งน้ำมันปาล์มดิบให้แก่โจทก์หลายงวด แต่ละงวดโจทก์สั่งจ่ายเช็คชำระเงินให้แก่จำเลยที่ ๑ เกินกำหนด ๗ วัน นับจากวันที่รับของไป ๓ – ๑๓ วัน ตลอดมา ตามพฤติการณ์ที่กล่าวมาแสดงว่าโจทก์และจำเลยที่ ๑ มิได้มีเจตนาที่จะถือเอากำหนดระยะเวลาในการชำระเงินเป็นสาระสำคัญตามสัญญา ดังที่กำหนดไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๘๘ ทั้งข้อสัญญาตามใบสั่งครั้งแรกก็ไม่ได้ระบุชัดแจ้งว่า หากโจทก์ไม่ชำระเงินภายใน ๗ วัน นับจากวันที่รับของ สัญญาซื้อขายเป็นอันเลิกกันทันที ฉะนั้นจำเลยที่ ๑ จะใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาได้ก็ต่อเมื่อได้แจ้งให้โจทก์ชำระเงินภายใน ๗ วัน นับจากวันที่รับของตามใบสั่งครั้งแรกในงวดต่อไปตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๘๗ และจำเลยที่ ๑ ยังไม่มีสิทธิเลิกสัญญาตามใบสั่งครั้งที่สองและครั้งที่สาม เพราะจำเลยที่ ๑ ยังไม่ได้ส่งมอบน้ำมันปาล์มดิบให้แก่โจทก์ตามสัญญา จำเลยจะกล่าวอ้างว่าฐานะทางการเงินของโจทก์ไม่ดี เกรงว่าจะไม่ได้รับชำระเงินมาเป็นเหตุบอกเลิกสัญญาหาได้ไม่ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑ เป็นฝ่ายผิดสัญญานั้นชอบแล้วและวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าจำเลยเสียหาย ๖๐๐,๙๐๐ บาท
อนึ่ง ที่โจทก์ขอให้จำเลยทั้งสองชดใช้ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปีนับแต่วันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๒๙ ซึ่งเป็นวันที่โจทก์อ้างว่าได้ชำระเงินที่ต้องจ่ายเพิ่มขึ้นนั้น ปรากฏว่าโจทก์ชำระราคาน้ำมันปาล์มดิบจำนวน ๔๐๐ เมตริกตัน แก่บริษัทสยามปาล์มน้ำมันและอุตสาหกรรมจำกัด เมื่อวันที่ ๒๑ และ ๒๔ มีนาคม ๒๕๒๙ ตามใบเสร็จรับเงินเอกสารหมาย จ.๒๑ และจ.๒๔ ซึ่งตามใบเสร็จรับเงินดังกล่าวไม่อาจแยกได้ว่าเป็นการชำระราคาสำหรับการสั่งซื้อน้ำมันปาล์มดิบมาทดแทนการสั่งซื้อครั้งใด จึงเห็นสมควรให้โจทก์คิดดอกเบี้ยได้นับแต่วันที่ชำระเงินครั้งสุดท้ายคือวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๒๙
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดชำระเงิน ๖๐๐,๙๐๐ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๒๙ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.