คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1964/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามคำฟ้องคดีก่อนโจทก์กล่าวอ้างว่า โจทก์ขออนุญาตปลูกสร้างอาคาร และจำเลยทั้งสองได้อนุญาตให้โจทก์ปลูกสร้างอาคารได้ โจทก์จึงได้จ้างบริษัท ม.ทำการสร้างเข็มเจาะเพื่อทำการก่อสร้างโดยเสียค่าจ้างเป็นเงิน 140,000 บาท ต่อมาจำเลยมีคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตดังกล่าว โดยอ้างว่าโจทก์มิได้แจ้งข้อเท็จจริงทั้งหมดเกี่ยวกับที่ดินที่ทำการปลูกสร้างอาคารให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นทราบ จึงขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งของจำเลยทั้งสอง คดีนี้คำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายกล่าวอ้างว่า โจทก์ได้รับอนุญาตจากจำเลยทั้งสองให้ทำการปลูกสร้างอาคารแล้ว โจทก์จึงได้ดำเนินการก่อสร้างโดยเสียค่าใช้จ่ายในการปรับหน้าดินกับค่าจ้างเขียนแบบและค่าจ้างบริษัท ม.ทำการสร้างเข็มเจาะ รวมเป็นเงินที่ได้ลงทุนไปทั้งสิ้น 220,000 บาท ต่อมาจำเลยทั้งสองจงใจหรือประมาทเลินเล่อร่วมกันกระทำโดยมิชอบออกคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้าง ทำให้โจทก์เสียหายไม่อาจทำการก่อสร้างได้ จำเลยทั้งสองจึงต้องรับผิดในเงินที่โจทก์ได้ลงทุนไป ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายดังกล่าว สาระสำคัญอันที่โจทก์นำมากล่าวอ้างเป็นมูลเหตุแห่งการฟ้องและเรียกค่าเสียหายในคดีนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากเรื่องเดียวกัน และมูลเหตุเดียวกันกับในคดีก่อนชอบที่โจทก์จะได้เรียกร้องค่าเสียหายมาพร้อมกับฟ้องในคดีก่อนเสียในคราวเดียวกัน โจทก์จะนำคดีมาแบ่งแยกฟ้องทีละส่วนทีละตอน ทั้ง ๆ ที่คดีก่อนยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์หาได้ไม่ ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้อน ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 173 วรรคสอง (1)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิการเช่าที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๒๔๖๗ตำบลบางกระสอ (บางซื่อ) อำเภอนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี และขออนุญาตปลูกสร้างอาคารจากจำเลยทั้งสอง โจทก์ได้รับอนุญาตให้ก่อสร้างอาคารบนที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๒๔๖๗โจทก์เริ่มดำเนินการก่อสร้างอาคารเสียค่าดำเนินการ ตีผัง ปรับหน้าดิน เป็นเงิน๒๐,๐๐๐ บาท ค่าจ้างเขียนแบบเพื่อทำการก่อสร้าง ๖๐,๐๐๐ บาท และค่าว่าจ้างบริษัทเมโทรคอนกรีต จำกัด ทำการสร้างเข็มเจาะเพื่อลงเสาเข็มก่อสร้าง เป็นเงิน๑๔๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงินที่ได้ลงทุนไปทั้งสิ้น ๒๒๐,๐๐๐ บาท ต่อมาจำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ ในฐานะผู้กระทำแทนและฐานะส่วนตัว จงใจหรือประมาทเลินเล่อร่วมกันกระทำโดยมิชอบออกคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้างที่โจทก์ได้รับอนุญาต โดยอ้างว่าโจทก์มิได้แจ้งข้อเท็จจริงทั้งหมดเกี่ยวกับที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๒๔๖๗ ให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นทราบ การออกคำสั่งดังกล่าวไม่มีเหตุตามกฎหมาย หรืออำนาจที่จะกระทำได้ เป็นการละเมิดทำให้โจทก์เสียหาย ไม่อาจทำการก่อสร้างตามใบอนุญาตก่อสร้างอาคารต่อไปได้ซึ่งโจทก์ได้ลงทุนก่อสร้างไปดังกล่าวแล้ว จำเลยทั้งสองต้องร่วมรับผิดในเงินดังกล่าวพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๓๒ เป็นต้นไปดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๑๖,๕๐๐ บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน ๒๓๖,๕๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน๒๒๐,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า ก่อนหน้านี้โจทก์เคยฟ้องจำเลยทั้งสองในเรื่องเดียวกันและประเด็นเดียวกันว่า คำสั่งของจำเลยที่ ๒ ที่สั่งให้เพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้างอาคาร เป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๔๕๖/๒๕๓๓ของศาลชั้นต้น ซึ่งโจทก์ชอบที่จะฟ้องเรียกค่าเสียหายมาในคดีดังกล่าว มิใช่มาฟ้องเป็นคดีใหม่และขณะนี้คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องซ้อน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้ จึงให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยและพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงตามที่คู่ความยอมรับกันฟังได้เบื้องต้นว่าก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้ โจทก์ได้ฟ้องจำเลยทั้งสองกับพวกรวม ๑๑ คนซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๔๕๖/๒๕๓๓ ดังปรากฏตามสำเนาคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่จำเลยทั้งสองส่งศาลไว้ตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ ๑๒กันยายน ๒๕๓๓ และคดียังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ แล้วโจทก์ได้ฟ้องจำเลยทั้งสองเรียกค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยฐานละเมิดเป็นคดีนี้ ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยในชั้นนี้มีเพียงว่าฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้อนกับฟ้องของโจทก์คดีก่อนดังกล่าวข้างต้นหรือไม่ ได้ตรวจพิเคราะห์คำฟ้องของโจทก์คดีก่อนแล้ว ปรากฎว่า ตามคำฟ้องคดีก่อนโจทก์กล่าวอ้างว่า โจทก์ขออนุญาตปลูกสร้างอาคารในที่ดินซึ่งโจทก์มีสิทธิการเช่า และจำเลยทั้งสองได้อนุญาตให้โจทก์ปลูกสร้างอาคารลงบนที่ดินดังกล่าวได้ โจทก์จึงได้จ้างบริษัทเมโทรคอนกรีต จำกัด ทำการสร้างเข็มเจาะเพื่อทำการก่อสร้างโดยเสียค่าจ้างเป็นเงิน ๑๔๐,๐๐๐ บาท ต่อมาโจทก์ได้รับคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตของจำเลยทั้งสองดังกล่าวข้างต้น โดยจำเลยทั้งสองอ้างว่าโจทก์มิได้แจ้งข้อเท็จจริงทั้งหมดเกี่ยวกับที่ดินที่ทำการปลูกสร้างอาคารให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นทราบ คำสั่งของจำเลยทั้งสองเป็นไปโดยมิชอบด้วยกฎหมาย จึงขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งของจำเลยทั้งสอง สำหรับคดีนี้คำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายกล่าวอ้างถึงสาระสำคัญเป็นทำนองเดียวกันอีกว่าโจทก์ได้รับอนุญาตจากจำเลยทั้งสองให้ทำการปลูกสร้างอาคารแล้ว โจทก์จึงได้ดำเนินการก่อสร้างโดยเสียค่าใช้จ่ายในการปรับหน้าดินกับค่าจ้างเขียนแบบและค่าจ้างบริษัทเมโทรคอนกรีตจำกัด ทำการสร้างเข็มเจาะ เพื่อทำการก่อสร้างอาคารตามที่ได้รับอนุญาตจากจำเลยทั้งสองรวมเป็นเงินที่ได้ลงทุนไปทั้งสิ้น ๒๒๐,๐๐๐ บาท ต่อมาวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๓๒ จำเลยทั้งสองจงใจหรือประมาทเลินเล่อร่วมกันกระทำโดยมิชอบออกคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้างที่โจทก์ได้รับอนุญาต ซึ่งโจทก์อ้างว่า การออกคำสั่งของจำเลยทั้งสองไม่มีเหตุตามกฎหมายหรืออำนาจที่จะกระทำได้ เป็นการละเมิดทำให้โจทก์เสียหายไม่อาจทำการก่อสร้างตามใบอนุญาตต่อไปได้ซึ่งโจทก์ได้ลงทุนไปแล้วเป็นจำนวนดังกล่าว จำเลยทั้งสองจึงต้องรับผิดในเงินที่โจทก์ได้ลงทุนไปขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายดังกล่าว จึงเห็นได้ชัดว่าสาระสำคัญอันที่โจทก์นำมากล่าวอ้างเป็นมูลเหตุแห่งการฟ้องและเรียกค่าเสียหายในคดีนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากเรื่องเดียวกัน และมูลเหตุเดียวกันกับในคดีก่อน กล่าวคือ เมื่อโจทก์ได้รับอนุญาตจากจำเลยทั้งสองแล้ว โจทก์ได้ลงทุนเสียค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างอาคารไปแล้วกลับถูกจำเลยทั้งสองเพิกถอนใบอนุญาตจนเป็นเหตุให้โจทก์ไม่สามารถทำการก่อสร้างอาคารต่อไปได้ หากเป็นจริงโจทก์ย่อมได้รับความเสียหายจากการกระทำของจำเลยทั้งสองอยู่แล้ว ดังนี้ จึงชอบที่โจทก์จะได้เรียกร้องค่าเสียหายที่อ้างว่าจำเลยทั้งสองออกคำสั่งโดยมิชอบ ซึ่งเป็นการกระทำละเมิดมาพร้อมกับฟ้องในคดีก่อนเสียในคราวเดียวกัน โจทก์จะนำคดีมาแบ่งแยกฟ้องทีละส่วนทีละตอนทั้ง ๆ ที่คดีก่อนยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์หาได้ไม่ ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้อน ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๓ วรรคสอง (๑)
พิพากษายืน.

Share